น่าจะมาจากแนวคิดเรื่องทุนเริ่มต้นครับ ถ้าทุนเริ่มต้นน้อยโอกาสทำกำไร มากกว่า 20% ก็จะมากขึ้นครับ เช่น ลงทุน 100 ดอล ทำให้ได้กำไรที่ 100 ดอล จะง่ายกว่า 10,000 ดอล ทำให้ได้กำไร 10,000 ดอลครับ แต่ระยะยาวอาจจะทำได้ในระดับ 5-6 ปีก็มีครับ แต่หลังจากนั้นก็.....เท่าที่เจอมาใน mql5 นะครับ แต่มันมีคนที่ทำได้เฉลี่ย ระดับ 60% ต่อปีเป็นเวลาหลายสิบปีก็มีนะครับเช่น คุณจิม ไซมอน คนนี้เก่งกว่าบัฟเฟตอีกครับ แก่ใช้โมเดลมางคณิตศาสตร์ล้วนๆเลยครับ เป็นศาสตร์จารย์ด้านคณิตใน ฮาวเวิร์ดครับ แต่ส่วยตัวคิดว่ายิ่งคาดหวังผลกำไรมากก็เสี่ยงเสียเงินต้นไปง่ายเช่นเดียวกันครับ ผมขอยกตัวอย่างเป็น ea นะครับ ea บางตัวอาจจะทำกำไรต่ำแต่ dd ไม่มาก แต่เราต้องการกำไรมากจึงไปทำการ optimize ea ให้กำไรมาก ทำให้เกิดการ overfixting กับข้อมูลในอดีตมากเกินไปพอนำมาใช้จริงอาจจะทำกำไรได้จำนวนมากในระยะเวลาหนึ่งแต่เมื่อไดนามิกตลาดเปลี่ยนแปลงไปนิดนึงอาจจะส่งผลให้ ea ตัวไปไม่รอดก็มีครับ ไม่รู้ว่าตอบตรงคำถามไหมนะครับ

เพราะว่าวอเรนเขารู้ว่าสิ่งที่สำคัญที่สุดคือความเสี่ยง และการที่เขาได้ไม่เท่าโค้ชฟอเร็กเพราะว่า เขาไม่ได้ใช้ Leverage เยอะเท่าโค้ชฟอเร็ก ซึ่งสิ่งที่วอเรนได้มาคือ การที่เขาสามารถลงทุนได้ระยะยาวอย่างต่อเนื่อง และให้ผลตอบแทนทบต้นทำงานนั่นเอง

@ntrader  ยิ่งตลาดเดียวนี้ถ้ามาเทรดกับสินค้าอย่างทองคำ ก็อาจจะบอกได้เลยว่าหนักอยู่พอสมควร

โพสโดย: @fxjui

↑

มาแชร์กันหน่อยกับเรื่องนี้

ในขณะที่โค้ชที่บอกว่าได้หลายร้อยเปอเซนต์ เราอาจจะต้องตั้งคำถามว่า โค้ชเหล่านั้นใช้ Leverage เท่าไร และ พอร์ทลงทุนของเขา อยู่ได้นานแค่ไหน เพราะการที่ใช้ Leverage สูง มีโอกาสที่พอร์ทจะแตกสูงมากเช่นกัน พอคิดโดยรวมกับการที่พอร์ตแตกแล้ว โค้ชอาจจะได้ผลตอบแทนน้อยกว่าวอเรนด้วย หรือ อาจจะไม่กำไรในระยะยาวด้วยซ้ำ ต้องตั้งคำถามและศึกษาดีๆครับ

@pleomxvsc  โซนกว้างขึ้นกว่าเดิมมากครับทองคำ คาดเดาได้ยากจริงๆ

วอเรน บัฟเฟตเน้นการลงทุนแบบระยะยาวโดยเน้นเลือกหุ้นคุณค่า ซึ่งเป็นหุ้นที่มีความเสถียรและเติบโตในระยะยาว การที่เขามีกำไรเฉลี่ย 20% ต่อปีถือว่าเป็นผลลัพธ์ที่ดีและมั่นคงแล้วนะ เพราะไม่ได้พยายามทำกำไรในระยะสั้น ซึ่งมันค่อนข้างต่างจากการเทรด Forex ที่มีการเก็งกำไรสูงและใช้ leverage เยอะ ทำให้สามารถได้กำไรมากกว่า 20% ในระยะเวลาสั้นๆ แต่ความเสี่ยงสูงกว่ามากและไม่ยั่งยืนเหมือนกัน

การเทรดจริงเป็นแบบไหน ให้ดู Hedge Fund ครับ เพราะ Hedge Fund มีคนมีความสามารถระดับ Top เข้าไปช่วยกันบริหาร แต่กลับกัน ผลกำไรก็ไม่ได้หนีห่างค่าเฉลี่ย  S&P500 มาก

ในโลกของการเทรด คนส่วนใหญ่ไม่มีใครทำกำไรได้ คนส่วนนึงก็กำไร แต่ไม่ชนะค่าเฉลี่ย ส่วนคนส่วนน้อยระดับพระเจ้าจริงๆ ถึงจะกำไรมากกว่าค่าเฉลี่ย

แค่เทรดให้มากกว่าค่าเฉลี่ยได้ก็ถือว่าประสบความสำเร็จมากๆแล้วครับสำหรับผม เพราะการเทรดคือสิ่งที่ต้องวัดระยะยาว เวลาจะคัดคนออกไปเรื่อยๆเอง

การลงทุนของบัฟเฟตต์เน้นความปลอดภัยและความเสถียรเป็นหลัก เขาเลือกหุ้นที่มีคุณภาพและลงทุนในบริษัทที่เข้าใจดี ซึ่งต่างจากการเทรด Forex ที่หลายครั้งมีการใช้ระบบเทรดออโต้หรือโค้ดสอนเทรดที่มุ่งหวังกำไรสูงในระยะสั้น แต่ก็มีโอกาสขาดทุนมาก ความสำเร็จของบัฟเฟตต์คือการสร้างผลตอบแทนที่ยั่งยืนและความเสี่ยงต่ำเมื่อเปรียบเทียบกับการเทรดเก็งกำไรในตลาดforex ครับ 

จริงๆควรมองในมุมที่ว่าขนาดปู่แกเก๋าขนาดนั้นยังทำได้ 20% แล้วโค้ชที่บอกได้เป็น 100% 1000% มันทำได้จริงหรือ

สมมุติว่าทำได้จริงเขาทำมันได้อย่างยั่งยืนจริงๆไหมเพราะการเทรดให้ได้ 200% แต่เสี่ยงจะเสียเงินต้นมันได้ไม่คุ้มเสียครับ

มันจะมีประโยชน์อะไรถ้าวันนี้ได้ 200% แต่พรุ่งนี้เราเสียทั้งทุนทั้งกำไรนั่นไป

อันนี้ต้องถามว่า ทำไมมองว่าอ่อนกว่า เพราะโค้ชสอนเทรดในไทยมันไม่ได้ตลอดครับ 555 คือ เขาไม่ค่อยคิดถึงเรื่อง Risk management ซึ่ง ไม่ค่อยมีสอนในไทย และหนังสือในไทยก็ไม่มีด้วยนะ