การแจ้งเตือน
ลบทั้งหมด

Pullback และ Throwback คืออะไร สรุปสั้น

4 กระทู้
4 ผู้ใช้
7 Reactions
275 เข้าชม
thaiforex
(@thaiforex)
แอดมิน Admin
Rank F
เข้าร่วม: 12 เดือน ที่ผ่านมา
กระทู้: 799
หัวข้อเริ่มต้น  

กลยุทธ์การเทรดแบบ Pullback และ Throwback  เป็นกลยุทธ์ที่เน้นการซื้อขายในช่วงที่ราคามีการย่อตัว (Pullback) หรือการดีดตัวกลับ (Throwback) โดยอาศัยการเคลื่อนไหวของราคาที่สวนทางกับแนวโน้มหลักชั่วคราว เพื่อเข้าสู่ตลาดในจังหวะที่ดีและมีโอกาสทำกำไรสูง

 

Pullback และ Throwback คืออะไร สรุปสั้น

- Pullback  : การย่อตัวของราคาในช่วงขาขึ้น หมายถึงการที่ราคาย่อตัวลงมาหลังจากมีการขึ้นต่อเนื่อง ซึ่งเป็นโอกาสในการซื้อในราคาที่ขาลง
- Throwback  : การดีดตัวกลับของราคาในช่วงขาลง หมายถึงการที่ราคาดีดตัวขึ้นมาหลังจากมีการลงต่อเนื่อง ซึ่งเป็นโอกาสในการขายในราคาที่ขาขึ้น

 

ข้อดีของกลยุทธ์การเทรดแบบ Pullback และ Throwback
1. ช่วยสร้างโอกาสในการเข้าออเดอร์ตลาดในจังหวะที่ดี : ช่วยให้คุณสามารถเข้าซื้อในช่วงที่ราคาต่ำและขายในช่วงที่ราคาสูง
2. การใช้แนวโน้มหลัก : การเทรดตามแนวโน้มหลักแต่รอให้ราคาย่อตัวหรือดีดตัวกลับจะช่วยลดความเสี่ยงในการเข้าในจุดสูงสุดหรือต่ำสุด
3. การจัดการความเสี่ยงที่ดี : สามารถวางจุด Stop Loss ใกล้จุดเข้าตลาด ทำให้การจัดการความเสี่ยงมีประสิทธิภาพมากขึ้น

 

ข้อสังเกตุของกลยุทธ์การเทรดแบบ Pullback และ Throwback
1. ต้องมีการวิเคราะห์ที่แม่นยำ: การระบุจุด Pullback หรือ Throwback ที่ถูกต้องต้องการการวิเคราะห์ที่ดีและแม่นยำ
2. มีความเสี่ยงจากการเปลี่ยนแนวโน้ม: หากตลาดมีการเปลี่ยนแนวโน้มหลัก กลยุทธ์นี้อาจไม่สามารถทำงานได้ดี
3. ความล่าช้าในการเข้าจุด : การรอให้เกิด Pullback หรือ Throwback อาจทำให้พลาดโอกาสในช่วงที่ตลาดมีแนวโน้มที่แข็งแกร่ง

 

Pullback และ Throwback ใช้กับ Timeframe ใดบ้าง
กลยุทธ์นี้สามารถใช้ได้กับทุก Timeframe ขึ้นอยู่กับสไตล์การเทรดของคุณ
- ระยะสั้น (Short-term): เช่น TF 5 นาที,  TF 15 นาที, TF 1 ชั่วโมง เหมาะสำหรับ Day Traders หรือ Scalpers
- ระยะกลาง (Medium-term): เช่น TF 4 ชั่วโมง, TF 1 วัน เหมาะสำหรับ Swing Traders
- ระยะยาว (Long-term): เช่น TF 1 สัปดาห์, TF 1 เดือน เหมาะสำหรับ Position Traders

 

ขั้นตอนการเทรด Pullback และ Throwback
1. การระบุแนวโน้มหลัก : ใช้เครื่องมือเช่น เส้นแนวโน้ม (Trend Lines), ค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ (Moving Averages) หรือดัชนีแนวโน้ม (Trend Indicators) เช่น MACD หรือ RSI มาใช้ในการระบุหาแนวโน้ม
2. รอจังหวะการย่อตัวหรือดีดตัวกลับ : ดูสัญญาณการย่อตัวของราคาในแนวโน้มขาขึ้น (Pullback) หรือการดีดตัวกลับในแนวโน้มขาลง (Throwback)
3. หาจุดเข้าสู่ตลาด : เมื่อเห็นสัญญาณการกลับตัวจาก Pullback หรือ Throwback สามารถหาจุดเข้าสู่ตลาดได้ เช่น ใช้แท่งเทียน (Candlestick Patterns) หรือสัญญาณจาก Indicators อื่น ๆ
4. วางจุด Stop Loss และ Take Profit : วางจุด Stop Loss ใกล้จุดเข้าตลาดเพื่อจัดการความเสี่ยง และกำหนดจุด Take Profit ตามเป้าหมายกำไรที่คาดหวัง

 

ตัวอย่าง
- ในแนวโน้มขาขึ้น: เมื่อราคาทำการย่อตัวลงมาที่เส้นแนวรับหรือเส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ (Moving Average) อาจหาจุดเข้าสู่ตลาดด้วยคำสั่งซื้อ (Buy) โดยวาง Stop Loss ใต้จุดต่ำสุดของการย่อตัว
- ในแนวโน้มขาลง: เมื่อราคาดีดตัวขึ้นมาที่เส้นแนวต้านหรือเส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ อาจเข้าสู่ตลาดด้วยคำสั่งขาย (Sell) โดยวาง Stop Loss เหนือจุดสูงสุดของการดีดตัว

การเทรดด้วยกลยุทธ์ Pullback และ Throwback ต้องการการฝึกฝนและการสังเกตตลาดอย่างละเอียด รวมถึงการใช้เครื่องมือวิเคราะห์ทางเทคนิคเพื่อเพิ่มความแม่นยำในการเข้าสู่ตลาด


   
Goldhunt147, TibitoBlink, Nantapakfx and 4 people reacted
อ้างอิง
แท็กหัวข้อ
201fx
(@201fx)
สมาชิก
Rookie
เข้าร่วม: 11 เดือน ที่ผ่านมา
กระทู้: 7
 


   
ตอบอ้างอิง
ddosfx
(@ddosfx)
สมาชิก
Rookie
เข้าร่วม: 11 เดือน ที่ผ่านมา
กระทู้: 8
 

ขอบคุณครับ 😍 😍 


   
ตอบอ้างอิง
TibitoBlink
(@tibitoblink)
สมาชิก
Rank F
เข้าร่วม: 8 เดือน ที่ผ่านมา
กระทู้: 435
 

ขอบคุณค่ะ


   
ตอบอ้างอิง

ทิ้งคำตอบไว้

ชื่อผู้แต่ง

อีเมลผู้เขียน

ตำแหน่ง *

You are not allowed to attach files on this forum. It is possible that you have not reached the minimum required number of posts, or your user group does not have permission to attach files in this forum.
 
ดูตัวอย่าง แก้ไข 0 ครั้ง บันทึกแล้ว
แบ่งปัน: