การแจ้งเตือน
ลบทั้งหมด

Pullback และ Throwback คืออะไร สรุปสั้น

4 กระทู้
4 ผู้ใช้
7 Reactions
146 เข้าชม
thaiforex
(@thaiforex)
สมาชิก Admin
Rank SS
เข้าร่วม: 8 เดือน ที่ผ่านมา
กระทู้: 715
หัวข้อเริ่มต้น  

กลยุทธ์การเทรดแบบ Pullback และ Throwback  เป็นกลยุทธ์ที่เน้นการซื้อขายในช่วงที่ราคามีการย่อตัว (Pullback) หรือการดีดตัวกลับ (Throwback) โดยอาศัยการเคลื่อนไหวของราคาที่สวนทางกับแนวโน้มหลักชั่วคราว เพื่อเข้าสู่ตลาดในจังหวะที่ดีและมีโอกาสทำกำไรสูง

 

Pullback และ Throwback คืออะไร สรุปสั้น

- Pullback  : การย่อตัวของราคาในช่วงขาขึ้น หมายถึงการที่ราคาย่อตัวลงมาหลังจากมีการขึ้นต่อเนื่อง ซึ่งเป็นโอกาสในการซื้อในราคาที่ขาลง
- Throwback  : การดีดตัวกลับของราคาในช่วงขาลง หมายถึงการที่ราคาดีดตัวขึ้นมาหลังจากมีการลงต่อเนื่อง ซึ่งเป็นโอกาสในการขายในราคาที่ขาขึ้น

 

ข้อดีของกลยุทธ์การเทรดแบบ Pullback และ Throwback
1. ช่วยสร้างโอกาสในการเข้าออเดอร์ตลาดในจังหวะที่ดี : ช่วยให้คุณสามารถเข้าซื้อในช่วงที่ราคาต่ำและขายในช่วงที่ราคาสูง
2. การใช้แนวโน้มหลัก : การเทรดตามแนวโน้มหลักแต่รอให้ราคาย่อตัวหรือดีดตัวกลับจะช่วยลดความเสี่ยงในการเข้าในจุดสูงสุดหรือต่ำสุด
3. การจัดการความเสี่ยงที่ดี : สามารถวางจุด Stop Loss ใกล้จุดเข้าตลาด ทำให้การจัดการความเสี่ยงมีประสิทธิภาพมากขึ้น

 

ข้อสังเกตุของกลยุทธ์การเทรดแบบ Pullback และ Throwback
1. ต้องมีการวิเคราะห์ที่แม่นยำ: การระบุจุด Pullback หรือ Throwback ที่ถูกต้องต้องการการวิเคราะห์ที่ดีและแม่นยำ
2. มีความเสี่ยงจากการเปลี่ยนแนวโน้ม: หากตลาดมีการเปลี่ยนแนวโน้มหลัก กลยุทธ์นี้อาจไม่สามารถทำงานได้ดี
3. ความล่าช้าในการเข้าจุด : การรอให้เกิด Pullback หรือ Throwback อาจทำให้พลาดโอกาสในช่วงที่ตลาดมีแนวโน้มที่แข็งแกร่ง

 

Pullback และ Throwback ใช้กับ Timeframe ใดบ้าง
กลยุทธ์นี้สามารถใช้ได้กับทุก Timeframe ขึ้นอยู่กับสไตล์การเทรดของคุณ
- ระยะสั้น (Short-term): เช่น TF 5 นาที,  TF 15 นาที, TF 1 ชั่วโมง เหมาะสำหรับ Day Traders หรือ Scalpers
- ระยะกลาง (Medium-term): เช่น TF 4 ชั่วโมง, TF 1 วัน เหมาะสำหรับ Swing Traders
- ระยะยาว (Long-term): เช่น TF 1 สัปดาห์, TF 1 เดือน เหมาะสำหรับ Position Traders

 

ขั้นตอนการเทรด Pullback และ Throwback
1. การระบุแนวโน้มหลัก : ใช้เครื่องมือเช่น เส้นแนวโน้ม (Trend Lines), ค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ (Moving Averages) หรือดัชนีแนวโน้ม (Trend Indicators) เช่น MACD หรือ RSI มาใช้ในการระบุหาแนวโน้ม
2. รอจังหวะการย่อตัวหรือดีดตัวกลับ : ดูสัญญาณการย่อตัวของราคาในแนวโน้มขาขึ้น (Pullback) หรือการดีดตัวกลับในแนวโน้มขาลง (Throwback)
3. หาจุดเข้าสู่ตลาด : เมื่อเห็นสัญญาณการกลับตัวจาก Pullback หรือ Throwback สามารถหาจุดเข้าสู่ตลาดได้ เช่น ใช้แท่งเทียน (Candlestick Patterns) หรือสัญญาณจาก Indicators อื่น ๆ
4. วางจุด Stop Loss และ Take Profit : วางจุด Stop Loss ใกล้จุดเข้าตลาดเพื่อจัดการความเสี่ยง และกำหนดจุด Take Profit ตามเป้าหมายกำไรที่คาดหวัง

 

ตัวอย่าง
- ในแนวโน้มขาขึ้น: เมื่อราคาทำการย่อตัวลงมาที่เส้นแนวรับหรือเส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ (Moving Average) อาจหาจุดเข้าสู่ตลาดด้วยคำสั่งซื้อ (Buy) โดยวาง Stop Loss ใต้จุดต่ำสุดของการย่อตัว
- ในแนวโน้มขาลง: เมื่อราคาดีดตัวขึ้นมาที่เส้นแนวต้านหรือเส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ อาจเข้าสู่ตลาดด้วยคำสั่งขาย (Sell) โดยวาง Stop Loss เหนือจุดสูงสุดของการดีดตัว

การเทรดด้วยกลยุทธ์ Pullback และ Throwback ต้องการการฝึกฝนและการสังเกตตลาดอย่างละเอียด รวมถึงการใช้เครื่องมือวิเคราะห์ทางเทคนิคเพื่อเพิ่มความแม่นยำในการเข้าสู่ตลาด


   
Goldhunt147, TibitoBlink, Nantapakfx and 4 people reacted
อ้างอิง
แท็กหัวข้อ
201fx
(@201fx)
สมาชิก
Rookie
เข้าร่วม: 6 เดือน ที่ผ่านมา
กระทู้: 7
 


   
ตอบอ้างอิง
ddosfx
(@ddosfx)
สมาชิก
Rookie
เข้าร่วม: 6 เดือน ที่ผ่านมา
กระทู้: 8
 

ขอบคุณครับ 😍 😍 


   
ตอบอ้างอิง
TibitoBlink
(@tibitoblink)
สมาชิก
Rookie
เข้าร่วม: 3 เดือน ที่ผ่านมา
กระทู้: 144
 

ขอบคุณค่ะ


   
ตอบอ้างอิง
แบ่งปัน: