หมวดหมู่ต่างๆ
กะทู้ล่าสุด
บทความดีๆ
Rank
บทวิเคราะห์ทองคำ
ถาม-ตอบ
กิจกรรม
แจก ea
แชร์ vps
ระบบเทรด
เตือนภัย
ดูหมวดหมู่ทั้งหมด
หมวดหมู่ต่างๆ
กะทู้ล่าสุด
บทความ
Rank
บทวิเคราะห์ทองคำ
ถาม-ตอบ
กิจกรรม
แจก ea
แชร์ vps
ระบบเทรด
เตือนภัย
ดูหมวดหมู่ทั้งหมด
การแจ้งเตือน
ลบทั้งหมด
คัมภีร์มือใหม่ แนะนำอ่านให้จบ
แบ่งปันประสบการณ์เทรด Forex
2
กระทู้
2
ผู้ใช้
2
Reactions
313
เข้าชม

(@thaiforex)
มนุษย์ที่เท่ห์ที่สุดในบอร์ด เพราะมีคนเดียว Admin













เข้าร่วม: 1 ปี ที่ผ่านมา
กระทู้: 911
หัวข้อเริ่มต้น 19/10/2024 11:48 am
ขอบคุณประสบกาณร์ดีๆจากคุณ Chonlatid Thaothong
หากคุณเป็นมือใหม่ที่สนใจจะเข้ามาเทรด Forex หรือ เทรดมานานและยังไม่ประสบความสำเร็จ ทุกท่านมีหนึ่งอย่างที่ต้องทำครับ คือการเรียนรู้ ไม่ว่าคุณจะทำอะไรหากขาดความรู้และไม่พยายามศึกษาในเรื่องนั้นๆ อย่างจริงจัง โอกาสที่คุณจะประสบความสำเร็จนั้นแทบจะเป็นไปไม่ได้เลย ในเรื่องของการเทรด Forex มันมีทั้งกลยุทธ์ มีทฤษฎี มากมาย ถ้า list ออกมารวมๆ กัน น่าจะมากกว่า 100 เรื่อง++ วันนี้ผมเลยมาขอแชร์ 10 ทฤษฎี ที่ใช้ในการเทรด Forex เพื่อยกระดับสู่การเป็น Trader มืออาชีพ โดยคัดจาก เรื่องที่ผมเคยศึกษามาและได้ลองใช้จริงในการเทรด
"การเรียนรู้และเข้าใจทฤษฎีต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับการเทรดในตลาด Forex เป็นสิ่งสำคัญมากสำหรับนักเทรดที่ต้องการประสบความสำเร็จ"
-------------------------------------------------------------------------
ในบทความนี้จะเน้นสรุปประเด็นสำคัญของแต่ละเทคนิคเพื่อให้ทุกท่านนำไปศึกษาต่อยอดลงลึกถึงรายละเอียดศึกษาเพิ่มเติมนะครับ เพราะแต่ละเทคนิค รายละเอียดค่อนข้างเยอะมากๆ ไม่สามารถลงรายละเอียดได้ครบ แต่ถ้าอยากรู้รายละเอียดในเรื่องใดก็ลองศึกษาค้นคว้าจาก Youtube หรือตามที่ต่างๆ บน Internet ได้เลยครับ มีครบทุกเรื่องแน่นอนที่สำคัญ "ฟรี" ซึ่งความรู้ฟรี และมีคุณภาพเหล่านี้ จะช่วยให้คุณสามารถสร้างรายได้จากการเทรดได้ดีขึ้น
10 ทฤษฎีสำคัญที่นักเทรด Forex ควรศึกษา เรียงลำดับจากเรื่องที่เข้าใจง่าย ไม่ซับซ้อน เหมาะสำหรับผู้เริ่มต้น ไปจนถึง เรื่องที่ซับซ้อนมากยิ่งขึ้น เพื่อไม่ให้เสียเวลา เรามาเริ่มกันเลยครับ...
-------------------------------------------------------------------------
1.Support and Resistance (แนวรับและแนวต้าน)
แนวรับ (Support) และ แนวต้าน (Resistance) เป็นหนึ่งในแนวคิดพื้นฐานที่สำคัญในการวิเคราะห์ทางเทคนิค (Technical Analysis) สำหรับตลาดการเงิน รวมถึงการเทรดในตลาด Forex แนวรับและแนวต้านช่วยให้เข้าใจจุดที่ราคาอาจมีการหยุดหรือกลับทิศทาง จึงเป็นเครื่องมือสำคัญในการวิเคราะห์กราฟและตัดสินใจในการเปิดหรือปิดสถานะ
ประเด็นสำคัญ:
-
แนวรับ (Support) คือจุดที่ราคามีแนวโน้มจะหยุดการลงและกลับตัวขึ้น เนื่องจากมีแรงซื้อเข้ามามาก ทำให้ราคาหยุดตกลง
-
แนวต้าน (Resistance) คือจุดที่ราคามีแนวโน้มจะหยุดการขึ้นและกลับตัวลง เพราะมีแรงขายเข้ามามาก ทำให้ราคาหยุดขึ้น
-
การเทรดการกลับตัว (Reversal Trading) ที่แนวรับและแนวต้าน: เราสามารถซื้อที่แนวรับและขายที่แนวต้าน หากเห็นสัญญาณการกลับตัว
-
การเทรดทะลุแนวรับ/แนวต้าน (Breakout Trading): เมื่อตลาดทะลุแนวรับหรือแนวต้าน อาจเป็นสัญญาณให้เทรดตามทิศทางนั้น
-
Role Reversal: เมื่อแนวรับถูกทะลุ จะกลายเป็นแนวต้านใหม่ และเมื่อแนวต้านถูกทะลุ จะกลายเป็นแนวรับใหม่
การศึกษาและความซับซ้อนอยู่ในระดับ: (ง่ายที่สุด) สามารถศึกษาและเข้าใจได้อย่างรวดเร็ว เป็นพื้นฐานของการวิเคราะห์ทางเทคนิค ใช้ในการเทรดได้ทันที และสามารถให้จุดเข้าซื้อ/ขายที่มีประสิทธิภาพ
*ข้อควรระวังที่สำคัญ: การเกิด False Breakout ซึ่งเกิดขึ้นเมื่อราคาทะลุผ่านแนวรับหรือแนวต้านในระยะสั้น ๆ ก่อนจะกลับมาสู่แนวเดิม ทำให้เราอาจเปิดคำสั่งซื้อหรือขายโดยเข้าใจผิดว่าเป็นการทะลุแนวจริง (Breakout) แต่ราคาไม่สามารถเคลื่อนที่ไปในทิศทางนั้นได้อย่างต่อเนื่อง เราจึงควรใช้สัญญาณยืนยันเพิ่มเติม เช่น การดูรูปแบบแท่งเทียน (Candlestick Patterns) หรืออินดิเคเตอร์อื่น ๆ เพื่อให้มั่นใจว่าการ Breakout นั้นเป็นการทะลุผ่านแนวรับหรือแนวต้านอย่างแท้จริง
-------------------------------------------------------------------------
2.Moving Averages (เส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่)
ประเด็นสำคัญ:
-
เส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ (Moving Average): เป็นการคำนวณค่าเฉลี่ยของราคาสินทรัพย์ในช่วงระยะเวลาหนึ่ง (เช่น 50 วัน หรือ 200 วัน) เพื่อลดความผันผวนของราคาและดูแนวโน้มในตลาด
-
ประเภทของเส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่: มี 2 ประเภทหลัก คือ
Simple Moving Average (SMA): คำนวณค่าเฉลี่ยราคาทั้งหมดใน ช่วงเวลาที่เลือก
Exponential Moving Average (EMA): ให้ค่าน้ำหนักมากขึ้นกับข้อมูลล่าสุด เพื่อให้ตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงของราคาที่รวดเร็วกว่า
-
สัญญาณตัดกัน (Moving Average Crossover): เป็นสัญญาณที่เกิดขึ้นเมื่อเส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ระยะสั้น (เช่น 50 วัน) ตัดผ่านเส้นค่าเฉลี่ยระยะยาว (เช่น 200 วัน) ซึ่งเป็นสัญญาณซื้อเมื่อเส้นระยะสั้นตัดขึ้น และสัญญาณขายเมื่อเส้นระยะสั้นตัดลง
-
ใช้ในการหาทิศทางแนวโน้ม: เส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ช่วยบ่งบอกทิศทางแนวโน้มในตลาด หากราคาอยู่เหนือเส้น Moving Average แสดงว่าตลาดเป็นแนวโน้มขาขึ้น และหากราคาอยู่ต่ำกว่าเส้น Moving Average แสดงว่าตลาดเป็นแนวโน้มขาลง
-
การใช้เส้นค่าเฉลี่ยหลายช่วงเวลา: มักใช้เส้น Moving Average หลายเส้นเพื่อดูแนวโน้มทั้งระยะสั้นและระยะยาว เช่น ใช้เส้น 50 วันและ 200 วันร่วมกัน เพื่อประเมินแนวโน้มและจังหวะการเข้าออกจากตลาด
การศึกษาและความซับซ้อนอยู่ในระดับ: (ง่าย) เส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่เป็นเครื่องมือพื้นฐานที่เข้าใจง่าย แต่การปรับใช้การตัดกันของเส้น Moving Average ต้องอาศัยการฝึกฝนเล็กน้อย สามารถใช้ในการดูแนวโน้มระยะสั้นและยาวได้อย่างดี
*ข้อควรระวังที่สำคัญ: การเกิดสัญญาณล่าช้า (Lagging Indicator) ซึ่งเป็นธรรมชาติของ Moving Average ใช้ข้อมูลราคาในอดีต การตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงของตลาดจึงล่าช้า ทำให้บางครั้งเราอาจพลาดโอกาสในการเข้าเทรดที่เหมาะสมหรือได้รับสัญญาณช้าเกินไป ควรใช้ Moving Average ร่วมกับเครื่องมืออื่นๆ เช่น แนวรับ แนวต้าน , Price Action หรือ อินดิเคเตอร์ตัวอื่นๆ ประกอบการตัดสินใจ
-------------------------------------------------------------------------
3. RSI (Relative Strength Index)
ประเด็นสำคัญ:
-
RSI เป็นอินดิเคเตอร์ที่ใช้วัดความแข็งแกร่งของการเปลี่ยนแปลงราคาในช่วงเวลาที่กำหนด โดยแสดงเป็นค่าตั้งแต่ 0 ถึง 100 เพื่อตรวจสอบว่าสินทรัพย์นั้น ๆ มีการซื้อเกิน (Overbought) หรือขายเกิน (Oversold) หรือไม่
-
ค่า RSI ที่สำคัญ:
ค่า RSI สูงกว่า 70 บ่งบอกว่าสินทรัพย์อาจอยู่ในสภาวะ Overbought (ซื้อเกิน) ซึ่งเป็นสัญญาณว่าราคา (อาจจะ) ปรับตัวลง
ค่า RSI ต่ำกว่า 30 บ่งบอกว่าสินทรัพย์อาจอยู่ในสภาวะ Oversold (ขายเกิน) ซึ่งเป็นสัญญาณว่าราคา (อาจจะ) ปรับตัวขึ้น
-
สัญญาณ Divergence:
หากราคาเคลื่อนที่ขึ้น แต่ค่า RSI เคลื่อนที่ลง แสดงถึง Bearish Divergence เป็นสัญญาณการกลับตัวลง
หากราคาเคลื่อนที่ลง แต่ค่า RSI เคลื่อนที่ขึ้น แสดงถึง Bullish Divergence เป็นสัญญาณการกลับตัวขึ้น
-
ใช้ในการยืนยันแนวโน้ม: RSI สามารถใช้ควบคู่กับเครื่องมืออื่นในการยืนยันแนวโน้มการเคลื่อนไหวของตลาด เช่น หาก RSI สูงกว่า 50 และราคาอยู่ในแนวโน้มขาขึ้น ก็สามารถยืนยันแนวโน้มขาขึ้นได้
-
ช่วงกลาง (50): ค่า RSI ที่ 50 มักถูกใช้เป็นตัวแบ่งแนวโน้ม หาก RSI อยู่เหนือ 50 จะบ่งบอกแนวโน้มขาขึ้น และถ้าต่ำกว่า 50 จะบ่งบอกแนวโน้มขาลง
การศึกษาและความซับซ้อนอยู่ในระดับ: (ง่าย) เป็นอินดิเคเตอร์ที่ง่ายต่อการเข้าใจและนำไปใช้ การใช้ RSI ในการคาดการณ์ Overbought/Oversold ง่ายและตรงไปตรงมา เป็นหนึ่งในเครื่องมือที่ใช้ได้ดีและรวดเร็วในการคาดการณ์การกลับตัว
*ข้อควรระวังที่สำคัญ: การใช้ RSI ในช่วงตลาดที่มีแนวโน้มชัดเจน (Trending Market) เนื่องจาก RSI มักจะให้สัญญาณ Overbought หรือ Oversold ในช่วงตลาดที่มีแนวโน้มแข็งแกร่ง แต่ราคาอาจยังคงเคลื่อนที่ไปในทิศทางเดิมได้อย่างต่อเนื่อง ทำให้เราอาจเข้าเทรดในทิศทางตรงข้ามแนวโน้มหลักและเกิดการขาดทุน ควรใช้ RSI ร่วมกับการวิเคราะห์แนวโน้มโดยรวม เช่น Moving Averages หรือการวิเคราะห์แนวรับและแนวต้าน เพื่อยืนยันสัญญาณก่อนทำการซื้อขาย
-------------------------------------------------------------------------
4.Dow Theory (ทฤษฎีดาว)
พัฒนาขึ้นโดย Charles Dow ซึ่งเชื่อว่าตลาดเคลื่อนไหวเป็นแนวโน้ม (Trend) มีการเปลี่ยนแปลงไปตามระยะเวลา โดยแบ่งออกเป็นแนวโน้มหลัก แนวโน้มรอง และแนวโน้มย่อย
ประเด็นสำคัญ:
-
ตลาดมีแนวโน้มหลัก (Primary Trend): การเคลื่อนไหวของตลาดแบ่งออกเป็นแนวโน้มหลัก ซึ่งเป็นแนวโน้มระยะยาวที่บ่งบอกทิศทางหลักของตลาด (ขาขึ้นหรือขาลง)
-
แนวโน้มแบ่งออกเป็น 3 ระยะ (Phases of Trend): แนวโน้มหลักแบ่งออกเป็น 3 ระยะ ได้แก่ ระยะแรกการสะสม (Accumulation), ระยะกลางการมีส่วนร่วม (Public Participation), และระยะสุดท้ายการกระจายตัว (Distribution)
-
ตลาดสะท้อนข้อมูลทั้งหมด (Market Discounts Everything): ราคาหุ้นหรือคู่เงินในตลาดจะสะท้อนข้อมูลข่าวสารและปัจจัยพื้นฐานต่าง ๆ ทั้งหมดแล้ว ซึ่งหมายความว่าข่าวและข้อมูลใด ๆ ได้รวมอยู่ในราคาปัจจุบันแล้ว
-
แนวโน้มตลาดยืนยันจากดัชนีหลายตัว (Indices Confirmation): แนวโน้มจะได้รับการยืนยันเมื่อดัชนีหลายตัวเคลื่อนที่ในทิศทางเดียวกัน เช่น ดัชนีอุตสาหกรรมและดัชนีขนส่ง
-
ปริมาณการซื้อขายต้องสอดคล้องกับแนวโน้ม (Volume Confirms Trend): ปริมาณการซื้อขายควรเพิ่มขึ้นเมื่อราคาเคลื่อนไหวตามแนวโน้มหลัก และลดลงเมื่อราคาเคลื่อนไหวสวนแนวโน้ม
การศึกษาและความซับซ้อนอยู่ในระดับ: (ง่าย) เนื่องจากเป็นทฤษฎีพื้นฐานเกี่ยวกับแนวโน้มตลาด แต่ต้องใช้เวลาในการฝึกปฏิบัติเพื่อให้เข้าใจแนวโน้มในระยะยาว ไม่ซับซ้อนมาก เนื่องจากเน้นการดูแนวโน้มหลัก มีประโยชน์ในการคาดการณ์แนวโน้มระยะยาวได้ดี
*ข้อควรระวังที่สำคัญ: การวิเคราะห์แนวโน้มหลักอาจใช้เวลานานและล่าช้า เนื่องจากทฤษฎีนี้เน้นการยืนยันแนวโน้มหลักในระยะยาว ซึ่งอาจทำให้เราพลาดโอกาสในการเข้าเทรดในช่วงเริ่มต้นของแนวโน้มใหม่ได้ หรืออาจได้รับสัญญาณล่าช้าเกินไปในบางครั้ง ควรใช้ Dow Theory ร่วมกับการวิเคราะห์เชิงเทคนิคอื่น ๆ ที่สามารถบ่งชี้แนวโน้มระยะสั้นได้ เช่น Price Action หรือ Moving Averages เพื่อช่วยให้คุณไม่พลาดโอกาสในการเข้าเทรดในระยะสั้น
-------------------------------------------------------------------------
5. Fibonacci Retracement (การหาค่ากลับตัว Fibonacci)
ประเด็นสำคัญ:
-
Fibonacci Retracement: เป็นเครื่องมือทางเทคนิคที่ใช้หาจุดแนวรับและแนวต้าน โดยอ้างอิงจากอัตราส่วนของตัวเลข Fibonacci เช่น 38.2%, 50%, และ 61.8% ซึ่งมักใช้ในการหาจุดที่ราคามีโอกาสกลับตัว
-
การใช้อัตราส่วน Fibonacci: นักเทรดส่วนใหญ่ใช้ระดับ 38.2%, 50%, และ 61.8% เพื่อหาจุดที่ราคาจะกลับตัวในทิศทางเดิมหลังจากการเคลื่อนที่ในแนวโน้มใหญ่ โดยระดับเหล่านี้ถือเป็นจุดสำคัญที่มีการเข้าออกคำสั่งซื้อขายมาก
-
ใช้งานร่วมกับเครื่องมืออื่น: Fibonacci Retracement มักจะถูกนำมาใช้ควบคู่กับเครื่องมือทางเทคนิคอื่น ๆ เช่น แนวรับและแนวต้าน หรือ Moving Average เพื่อเพิ่มความแม่นยำในการหาจุดกลับตัว
-
เหมาะกับการวิเคราะห์ตลาดแบบแนวโน้ม: เครื่องมือนี้เหมาะกับการใช้ในตลาดที่มีแนวโน้มชัดเจน เช่น ขาขึ้นหรือขาลง เพื่อหาจุดย่อตัวหรือพักตัวของราคา ก่อนที่จะกลับไปตามแนวโน้มหลักอีกครั้ง
-
การวาด Fibonacci Retracement: เริ่มต้นจากการลากเส้นจากจุดสูงสุด (High) ไปยังจุดต่ำสุด (Low) ในแนวโน้มขาลง หรือจากจุดต่ำสุดไปยังจุดสูงสุดในแนวโน้มขาขึ้น เพื่อระบุระดับแนวรับและแนวต้านที่เป็นไปได้
การศึกษาและความซับซ้อนอยู่ในระดับ: (ปานกลาง) การคำนวณ Fibonacci และการนำไปใช้ค่อนข้างซับซ้อน แต่ไม่ยากเกินไปที่จะเข้าใจ การหาจุด Fibonacci ต้องใช้ความแม่นยำ ใช้ได้ดีในกรณีที่ราคากำลังกลับตัวหรือย่อตัว
*ข้อควรระวังที่สำคัญ คือ อย่าพึ่งพา Fibonacci Retracement อย่างเดียว เพราะการใช้ Fibonacci Retracement โดยลำพังอาจให้สัญญาณกลับตัวผิดพลาดได้ ควรใช้ร่วมกับเครื่องมือทางเทคนิคอื่น ๆ เพื่อยืนยันสัญญาณ เช่น การวิเคราะห์รูปแบบแท่งเทียน หรือการวิเคราะห์แนวรับและแนวต้านเพื่อเพิ่มความแม่นยำ
-------------------------------------------------------------------------
6. Price Action (พฤติกรรมราคา)
ประเด็นสำคัญ:
-
Price Action : Price Action เป็นการวิเคราะห์การเคลื่อนไหวของราคาที่เกิดขึ้นจริง โดยไม่พึ่งพาอินดิเคเตอร์ใด ๆ ใช้ข้อมูลราคาบนกราฟเพื่อวิเคราะห์ทิศทางและตัดสินใจเปิด-ปิดสถานะ
-
การดูรูปแบบแท่งเทียน (Candlestick Patterns): รูปแบบแท่งเทียน เช่น Pin Bar, Doji และ Engulfing เป็นองค์ประกอบสำคัญในการใช้ Price Action ซึ่งบ่งบอกถึงจุดกลับตัวหรือการยืนยันแนวโน้ม
-
แนวรับและแนวต้าน (Support and Resistance): คนที่ใช้ Price Action มักจะดูแนวรับและแนวต้านเพื่อหาโซนที่ราคาจะกลับตัวหรือเคลื่อนที่ไปตามแนวโน้มเดิม
-
พฤติกรรมของราคาในตลาดที่มีแนวโน้ม: Price Action ช่วยให้เข้าใจการเคลื่อนไหวของราคาในตลาดที่มีแนวโน้มชัดเจน เช่น การวิเคราะห์ Higher Highs และ Higher Lows ในแนวโน้มขาขึ้น หรือ Lower Highs และ Lower Lows ในแนวโน้มขาลง
-
ความเรียบง่ายและการวิเคราะห์กราฟเปล่า: การใช้ Price Action มักเน้นที่กราฟเปล่าโดยไม่มีอินดิเคเตอร์เพิ่มเติม ทำให้เป็นวิธีการวิเคราะห์ที่ง่ายและชัดเจนสำหรับนักเทรดที่ต้องการลดความซับซ้อน
การศึกษาและความซับซ้อนอยู่ในระดับ: (ยากเล็กน้อย) การวิเคราะห์กราฟเปล่าต้องอาศัยประสบการณ์และการสังเกตที่ดี เนื่องจากต้องใช้ทักษะในการอ่านพฤติกรรมของตลาดจากกราฟโดยไม่มีอินดิเคเตอร์ ถ้าคุณฝึกฝนบ่อยๆ จนชำนาญ จะสามารถปรับใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
*ข้อควรระวังที่สำคัญ คือ อย่าวิเคราะห์แบบอคติหรือเชื่อมั่นเกินไปในรูปแบบแท่งเทียนเพียงอย่างเดียว การมองเห็นรูปแบบแท่งเทียนที่ดูเหมือนจะเป็นสัญญาณการกลับตัวหรือการยืนยันแนวโน้ม อาจทำให้เราเข้าใจผิด หากไม่มีการยืนยันเพิ่มเติมจากตลาดหรือเครื่องมืออื่น ๆ จึงควรพิจารณาร่วมกับปัจจัยอื่น ๆ เช่น แนวโน้มหลักหรือระดับแนวรับ-แนวต้าน
-------------------------------------------------------------------------
7. SMC (Smart Money Concepts)
ประเด็นสำคัญ:
-
Smart Money : หมายถึงการเคลื่อนไหวของนักลงทุนรายใหญ่ เช่น ธนาคารหรือกองทุนที่มีอิทธิพลต่อทิศทางตลาด การติดตามพฤติกรรมของ Smart Money สามารถช่วยนักเทรดรายย่อยคาดการณ์การเคลื่อนไหวของราคาได้
-
การดูโครงสร้างตลาด (Market Structure): Smart Money Concept เน้นการวิเคราะห์โครงสร้างตลาดเพื่อหาแนวโน้มและจุดกลับตัว โดยการศึกษาจุดสูงสุด (High) และจุดต่ำสุด (Low) ที่สำคัญในตลาดเพื่อหาทิศทางที่ Smart Money กำลังเคลื่อนไหว
-
การเก็บสะสมและการกระจายตัว (Accumulation and Distribution): Smart Money มักจะสะสม (ซื้อ) สินทรัพย์ในช่วงที่ตลาดมีความผันผวนต่ำและกระจาย (ขาย) ในช่วงที่ตลาดมีความผันผวนสูง การสังเกตพฤติกรรมนี้สามารถช่วยคาดการณ์จุดเข้าและออกที่เหมาะสม
-
การล่อลวงนักเทรด (Liquidity Grab): Smart Money มักใช้วิธีการสร้างสัญญาณหลอก เช่น การทะลุแนวรับ-แนวต้านเพื่อล่อลวงให้นักเทรดรายย่อยเข้าสู่ตลาดก่อนที่จะกลับทิศทาง ซึ่งเป็นการดักจับสภาพคล่อง (Liquidity) ก่อนที่ราคาจะเคลื่อนไหวไปในทิศทางที่แท้จริง
-
การใช้งานร่วมกับ Price Action: Smart Money Concept มักใช้ควบคู่กับการวิเคราะห์ Price Action เพื่อหาจุดที่นักเทรดรายใหญ่เข้าสู่ตลาด ซึ่งช่วยให้นักเทรดรายย่อยสามารถเปิดสถานะในจุดที่มีโอกาสสูงในการทำกำไร
การศึกษาและความซับซ้อนอยู่ในระดับ: (ยาก) เน้นการติดตามพฤติกรรมของ Smart Money และใช้ข้อมูลเชิงลึกเพื่อการเทรด ต้องเข้าใจเรื่องโครงสร้างและพฤติกรรมตลาดลึกๆ สามารถให้ผลลัพธ์ที่ดีเมื่อปรับใช้ในการเทรดจริง แต่ยากสำหรับผู้เริ่มต้น
*ข้อควรระวังที่สำคัญ คือ อย่าพยายามทำนายการเคลื่อนไหวของ Smart Money ด้วยข้อมูลเพียงเล็กน้อย เนื่องจาก Smart Money มักมีการเคลื่อนไหวที่ซับซ้อนและใช้เวลาในการสะสมคำสั่งซื้อขาย นักเทรดควรรอการยืนยันจากสัญญาณที่ชัดเจน เช่น การดูโครงสร้างตลาด เพื่อให้มั่นใจก่อนตัดสินใจเข้าเทรด
-------------------------------------------------------------------------
8. Elliott Wave Theory (ทฤษฎีคลื่นเอลเลียต)
ประเด็นสำคัญ:
-
Elliott Wave คืออะไร: ทฤษฎีคลื่นเอลเลียตระบุว่าการเคลื่อนไหวของตลาดการเงินมีลักษณะเป็นรูปแบบคลื่นที่เกิดขึ้นซ้ำ ๆ โดยแบ่งเป็นคลื่นขาขึ้น (Impulse Waves) และคลื่นขาลง (Corrective Waves) ซึ่งคลื่นเหล่านี้สะท้อนอารมณ์ของนักลงทุนในตลาด
-
โครงสร้างคลื่น 5-3 (5-3 Wave Structure): การเคลื่อนไหวของราคาประกอบด้วยคลื่นหลัก 5 คลื่นในทิศทางของแนวโน้มหลัก (Impulse) ตามด้วยคลื่นปรับฐาน 3 คลื่นในทิศทางตรงข้าม (Correction) โดยคลื่นทั้งสองกลุ่มนี้มักปรากฏตามลำดับ
-
กฎการนับคลื่น (Wave Counting Rules): การนับคลื่น Elliott ต้องปฏิบัติตามกฎบางอย่าง เช่น คลื่นที่ 2 ไม่สามารถย้อนกลับลงมาถึงจุดเริ่มต้นของคลื่นที่ 1 และคลื่นที่ 4 จะไม่ทับกับพื้นที่ของคลื่นที่ 1
-
Fibonacci ใน Elliott Wave: คลื่น Elliott มักสอดคล้องกับสัดส่วน Fibonacci โดยการวัดความยาวของคลื่นแต่ละคลื่นสามารถใช้สัดส่วน Fibonacci เพื่อหาจุดกลับตัวของตลาดได้
-
การประยุกต์ใช้ Elliott Wave: เราใช้ทฤษฎีคลื่น Elliott เพื่อคาดการณ์ทิศทางตลาดและหาจุดเข้าซื้อ-ขาย โดยคลื่น Impulse ช่วยบอกถึงแนวโน้มที่แข็งแกร่ง ส่วนคลื่น Corrective ช่วยบ่งชี้จุดย่อตัว
การศึกษาและความซับซ้อนอยู่ในระดับ: (ยาก) ต้องใช้เวลานานในการเรียนรู้โครงสร้างและการนับคลื่น การนับคลื่นต้องใช้ความแม่นยำสูง และมีความซับซ้อนในการตีความ ยากต่อการใช้ในชีวิตจริงสำหรับนักเทรดมือใหม่ แต่เมื่อเชี่ยวชาญแล้วจะมีประสิทธิภาพสูง
*ข้อควรระวังที่สำคัญ คือ การนับคลื่น Elliott อาจซับซ้อนและยากต่อการตีความในสถานการณ์จริง เนื่องจากตลาดอาจไม่เคลื่อนไหวตามรูปแบบคลื่นที่ชัดเจนเสมอไป เราควรใช้ Elliott Wave ควบคู่กับเครื่องมืออื่น ๆ เช่น Fibonacci Retracement หรืออินดิเคเตอร์เพื่อยืนยันความถูกต้องในการนับคลื่น
-------------------------------------------------------------------------
9.ICT (Inner Circle Trader)
ประเด็นสำคัญ:
-
ICT: เป็นแนวทางการเทรดที่เน้นการวิเคราะห์โครงสร้างตลาด (Market Structure) โดยการติดตามพฤติกรรมของกลุ่มนักลงทุนรายใหญ่ (Smart Money) เพื่อทำความเข้าใจจุดเข้าออกที่มีประสิทธิภาพในการเทรด
-
การเข้าใจโครงสร้างตลาด (Market Structure): ICT เน้นการวิเคราะห์จุดกลับตัวและทิศทางของตลาดผ่านการดูจุดสูงสุดและต่ำสุดของราคา เช่น การสร้าง Higher Highs, Lower Lows และการเปลี่ยนแปลงแนวโน้ม
-
การหาจุดเข้าออกจากการดักจับสภาพคล่อง (Liquidity): กลยุทธ์ของ ICT มักใช้วิธีการหา Liquidity Pools หรือบริเวณที่มีคำสั่งซื้อขายสะสมอยู่ ซึ่งมักเป็นจุดที่ Smart Money เข้าทำการซื้อหรือขาย และนักเทรดรายย่อยมักถูกล่อลวงให้เข้าสู่ตลาดในจุดเหล่านี้
-
การใช้ Order Blocks: Order Blocks เป็นหนึ่งในเครื่องมือสำคัญที่ ICT ใช้ในการหาโซนที่ Smart Money สะสมคำสั่งซื้อหรือขาย ซึ่งมักเป็นบริเวณที่ราคาจะกลับตัวหรือเคลื่อนที่แรง ๆ
-
การใช้อินดิเคเตอร์เฉพาะของ ICT: ระบบ ICT มักใช้อินดิเคเตอร์เฉพาะที่ช่วยในการตรวจสอบการเคลื่อนไหวของตลาด เช่น ICT Killzones (ช่วงเวลาที่ตลาดมีความผันผวนสูง) และ Fair Value Gaps เพื่อหาจุดเข้าเทรดที่มีโอกาสสูง
การศึกษาและความซับซ้อนอยู่ในระดับ: (ยากมาก) เน้นการวิเคราะห์พฤติกรรมของนักลงทุนรายใหญ่ ซึ่งซับซ้อนและใช้เวลานานในการศึกษา ต้องเข้าใจโครงสร้างตลาดและวิธีการวิเคราะห์เชิงลึก เมื่อเข้าใจแล้วจะสามารถปรับใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ แต่ต้องอาศัยประสบการณ์
*ข้อควรระวังที่สำคัญ คือ การวิเคราะห์ ICT ต้องใช้เวลาและความเข้าใจในรายละเอียดสูง เนื่องจากแนวคิดเกี่ยวกับโครงสร้างตลาดและการดักจับสภาพคล่องต้องใช้การฝึกฝนและประสบการณ์เพื่อทำความเข้าใจอย่างถูกต้อง เราจึงควรเริ่มต้นจากการศึกษาพื้นฐานและทดสอบกลยุทธ์ในบัญชีทดลองก่อนที่จะนำไปใช้จริงในตลาด
-------------------------------------------------------------------------
10. Wyckoff Method
ประเด็นสำคัญ:
-
Wyckoff Method คืออะไร: พัฒนาโดย Richard Wyckoff เน้นการเข้าใจพฤติกรรมการซื้อขายของนักลงทุนรายใหญ่ (Smart Money) โดยดูโครงสร้างตลาดในเชิงลึกผ่านการวิเคราะห์ขั้นตอนของการสะสม (Accumulation) และการกระจายตัว (Distribution)
-
โครงสร้าง 4 เฟส: Wyckoff Method แบ่งตลาดออกเป็น 4 เฟสสำคัญ ได้แก่ Accumulation (สะสม), Markup (ราคาขึ้น), Distribution (กระจาย), และ Markdown (ราคาลง) ซึ่งแต่ละเฟสสะท้อนการเคลื่อนไหวของ Smart Money
-
การสะสม (Accumulation) และการกระจาย (Distribution): ในเฟสการสะสม (Accumulation) นักลงทุนรายใหญ่จะซื้อในขณะที่ตลาดอยู่ในช่วงที่มีความผันผวนต่ำ และในเฟสการกระจาย (Distribution) นักลงทุนรายใหญ่จะขายเมื่อราคาขึ้นสูงจนดึงดูดนักลงทุนรายย่อยเข้ามาซื้อ
-
แนวคิดการทดสอบตลาด (Market Testing): Wyckoff Method ใช้การทดสอบเพื่อหาจุดที่ตลาดมีการแข็งแกร่งหรืออ่อนแอ เช่น การดูการทดสอบแนวรับหรือแนวต้าน และการตอบสนองของปริมาณการซื้อขาย (Volume)
-
หลักการ Wyckoff’s 3 Laws: Wyckoff ใช้กฎ 3 ข้อในการวิเคราะห์ ได้แก่ Law of Supply and Demand (กฎอุปสงค์และอุปทาน), Law of Cause and Effect (กฎเหตุและผล), และ Law of Effort vs. Result (กฎของความพยายามและผลลัพธ์) เพื่อเข้าใจการเคลื่อนไหวของราคาในตลาด
การศึกษาและความซับซ้อนอยู่ในระดับ: (ยากที่สุด) เป็นการวิเคราะห์พฤติกรรมของตลาดในขั้นสูง โดยเฉพาะการสะสมและการกระจายของแรงซื้อขาย ต้องศึกษาโครงสร้างและขั้นตอนต่าง ๆ อย่างละเอียด ยากต่อการปรับใช้สำหรับนักเทรดมือใหม่ แต่ถ้าฝึกฝนจะสามารถใช้งานได้ดีในการวิเคราะห์ตลาดขั้นสูง
*ข้อควรระวังที่สำคัญ คือ การระบุเฟสของตลาดอาจซับซ้อนและต้องการประสบการณ์ การแยกแยะระหว่างเฟสการสะสมและการกระจายตัวอาจไม่ชัดเจนในตลาดจริง และทำให้เราอาจวิเคราะห์ผิดพลาดได้ ดังนั้นควรใช้เครื่องมือเสริม เช่น การดูปริมาณการซื้อขาย (Volume) หรือการวิเคราะห์โครงสร้างตลาดอื่น ๆ เพื่อยืนยันทิศทาง
-------------------------------------------------------------------------
สรุป 10 ทฤษฎี เรียงตามความซับซ้อนของทฤษฎี (จากความคิดเห็นส่วนตัว)
1.Support and Resistance
2.Moving Averages
3.RSI (Relative Strength Index)
4.Dow Theory
5.Fibonacci Retracement
6.Price Action
7.SMC (Smart Money Concepts)
8.Elliott Wave Theory
9.ICT (Inner Circle Trader)
10.Wyckoff Method
ทั้ง 10 ทฤษฎีที่ได้ยกมาเป็นพื้นฐานที่สำคัญสำหรับนักเทรดที่ต้องการพัฒนาทักษะการวิเคราะห์ตลาด Forex ให้เชี่ยวชาญ ควรเริ่มจากทฤษฎีที่ง่ายและค่อยๆ ขยับไปยังทฤษฎีที่ซับซ้อนมากขึ้นตามประสบการณ์ที่สะสม
เราอาจจะไม่จำเป็นต้องรู้ทุกเรื่องทุกเทคนิคแต่ขอให้รู้ลึกรู้จริงในเทคนิคนั้นๆ คุณก็สามารถประสบความสำเร็จได้ ซึ่งความยากง่ายของแต่ละเทคนิคไม่มีผลต่อกำไร คุณอาจจะรู้แค่ แนวรับ แนวต้าน อย่างเดียวก็สามารถทำกำไรจากตลาดนี้ได้ เพียงแต่ว่า ยิ่งคุณมีความรู้ที่เยอะขึ้น ประสบการณ์เยอะขึ้น คุณก็จะได้เปรียบมากกว่าคนที่ไม่รู้แน่นอน "รู้เขา รู้เรา รบร้อยครั้ง ชนะร้อยครั้ง" การเทรดก็เช่นเดียวกัน เพียงแต่เราไม่ได้กำลังสู้กับใครอื่นนอกจากตัวเราเอง
หวังว่าบทความนี้จะมีประโยชน์ แก่ Trader ทุกท่านนะครับ หากมีคำถามหรือข้อสงสัยสามารถทักมาพูดคุยหรือ Comment ได้เลยนะครับ
ขอบคุณครับ 

No Risk , No Reward
PleomXVSC and TibitoBlink reacted
อ้างอิง
แท็กหัวข้อ
20/10/2024 1:57 pm
ขอบคุณมากค่ะ 😊
ตอบอ้างอิง
ทิ้งคำตอบไว้
Forum Jump:
หัวข้อที่เกี่ยวข้อง
-
มีแค่ 1,000 ดอลลาร์ แต่เปิด 1 Lot ทอง แล้วพอร์ต -2,000 ดอลลาร์ในพริบตา 😭 (เตือนมือใหม่เลย)
2 สัปดาห์ ที่ผ่านมา
-
ข้อผิดพลาดที่ทำให้คุณล้างพอร์ตได้
3 เดือน ที่ผ่านมา
-
ไม่อยากโดนโบรกโกง ป้องกันยังไง เทรดเดอร์มือใหม่ต้องระวัง!
5 เดือน ที่ผ่านมา
-
10 สิ่งที่ เทรดเดอร์หน้าใหม่ ต้องยอมรับก่อนเข้ามาในวงการเทรด Forex
8 เดือน ที่ผ่านมา
Forum Information
- 42 ฟอรัม
- 2,472 หัวข้อ
- 7,234 กระทู้
- 39 ออนไลน์
- 2,805 สมาชิก
สมาชิกใหม่ล่าสุดของเรา: T.
ไอคอนฟอรัม:
ฟอรัมไม่มีโพสต์ที่ยังไม่ได้อ่าน
ฟอรัมมีโพสต์ที่ยังไม่ได้อ่าน
ไอคอนหัวข้อ:
ไม่ตอบกลับ
ตอบแล้ว
ใช้งานอยู่
มาแรง
ปักหมุด
ไม่ได้รับการอนุมัติ
ได้คำตอบแล้ว
ส่วนตัว
ปิด