ทองคำกำลังพุ่งแรงอย่างต่อเนื่อง ทะลุ 4,050 ไปทำจุดสูงสุดใหม่เป็นประวัติการณ์ที่ 4,056 ต่อทรอยออนซ์ ซึ่งหมายถึงกำไรที่น่าทึ่งถึง 54% ในปีนี้

ทำไมทองคำถึงแรงขนาดนี้?

1. ความต้องการสินทรัพย์ปลอดภัย (Safe Haven Demand) ความตึงเครียดด้านภูมิรัฐศาสตร์ที่ยังคงมีอยู่ แม้จะมีความคืบหน้าในการเจรจาสันติภาพในตะวันออกกลางก็ตาม นอกจากนี้ ความขัดแย้งระหว่างรัสเซีย-ยูเครนก็ยังดำเนินต่อไป

2. การคาดการณ์ดอกเบี้ยสหรัฐฯ ลดลง ตลาดคาดว่า ธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) จะลดดอกเบี้ย 25 Basis Points (bps) ในการประชุมวันที่ 29 ตุลาคมนี้ โดยมีโอกาสสูงถึง 94% คาดการณ์ดอกเบี้ยต่ำลงจะหนุนให้ทองคำน่าสนใจขึ้น

3. ปัญหาการเมืองสหรัฐฯ การที่หน่วยงานรัฐบาลสหรัฐฯ ปิดทำการ (Government Shutdown) ทำให้ไม่มีการเผยแพร่ข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญออกมา นักลงทุนจึงหันไปให้ความสนใจกับถ้อยแถลงของเจ้าหน้าที่ Fed และรายงานการประชุม FOMC (Fed Minutes) ที่จะออกมาแทน

4. ความต้องการจากสถาบัน กองทุน Gold ETFs ทั่วโลกมีเงินไหลเข้ามหาศาล $64,000 ล้านดอลลาร์ในปีนี้ และธนาคารกลาง เช่น People’s Bank of China (PBoC) ก็ยังคงเข้าซื้อทองคำเป็นเดือนที่ 11 ติดต่อกัน

5. การปรับประมาณการณ์ Goldman Sachs ได้ปรับเพิ่มคาดการณ์ราคาทองคำในปี 2026 จาก $4,300 เป็น $4,900

แนวต้าน 

• 4,100

• 4,150

• 4,200

• 4,300 

• 4,900 

แนวรับ 

• 4,000 

• 3,941 

• 3,900 

• 3,819 

• 3,800 

คำเตือนนักลงทุน

แม้ทองคำจะอยู่ในช่วงขาขึ้นที่แข็งแกร่งจนทำลายสถิติใหม่ แต่การที่ดัชนี RSI อยู่ในเขตซื้อมากเกินไปก็เป็น สัญญาณเตือน ที่ไม่ควรมองข้าม นักลงทุนควรระมัดระวังเป็นพิเศษ เพราะราคาสามารถเกิดการปรับฐานหรือกลับตัวลงมาอย่างรวดเร็วได้เสมอ โดยเฉพาะหากมีข่าวสารสำคัญจาก Fed ออกมาผิดจากที่ตลาดคาดการณ์ไว้ การเทรดในช่วงที่ตลาดมีความผันผวนสูงเช่นนี้จึงต้องมีการบริหารความเสี่ยงและตั้งจุดตัดขาดทุนอย่างเคร่งครัด เพื่อป้องกันความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นจากแรงเทขายทำกำไรฉับพลันครับ