Fed มีมติลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง 0.25% ในเดือนกันยายน 2025














จากการประชุมของธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) เดือนกันยายน 2025 สิ่งที่เกิดขึ้นคือ Fed มีมติลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง 0.25% มาอยู่ที่ 4.00%–4.25% ซึ่งถือเป็นการลดดอกเบี้ยครั้งแรกนับตั้งแต่ช่วงปลายปีที่ผ่านมา โดยมีประเด็นสำคัญที่ประธาน Fed เจอโรม พาวเวลล์ เน้นย้ำคือ
-
ไม่ใช่เศรษฐกิจที่แย่ แต่กำลังอ่อนตัวลง แม้พาวเวลล์จะบอกว่าเศรษฐกิจโดยรวมยังดีอยู่ แต่เขาก็ยอมรับว่ามีสัญญาณของการชะลอตัวอย่างชัดเจน โดยเฉพาะในภาคการบริโภคและการจ้างงาน
-
ตลาดแรงงานกำลังเย็นตัวลง การจ้างงานใหม่ชะลอตัวลงอย่างมีนัยสำคัญ และอุปสงค์ (ความต้องการ) ในตลาดแรงงานลดลงมากกว่าอุปทาน (จำนวนคนหางาน) ซึ่งเป็นเหตุผลหลักที่ทำให้ Fed ต้องตัดสินใจลดดอกเบี้ยเพื่อ "บริหารความเสี่ยง" ไม่ให้ตลาดแรงงานถดถอยไปมากกว่านี้
-
เงินเฟ้อยังเป็นความเสี่ยง Fed คาดว่าเงินเฟ้อจะเพิ่มขึ้นเล็กน้อยจากนโยบายภาษีนำเข้าแต่เชื่อว่าจะเป็นการเพิ่มขึ้นเพียง ครั้งเดียว และจะใช้เครื่องมือที่มีอยู่เพื่อนำเงินเฟ้อกลับสู่เป้าหมาย 2%
-
ส่งสัญญาณผ่อนคลายนโยบายเพิ่มเติม การคาดการณ์ของ Fed ชี้ให้เห็นว่ามีแนวโน้มที่จะลดดอกเบี้ยเพิ่มอีก 0.50% ภายในสิ้นปีนี้ และจะลดต่อเนื่องในปี 2026-2027
ผลกระทบที่จะตามมา
การตัดสินใจของ Fed ครั้งนี้มีนัยสำคัญและส่งผลกระทบเป็นลูกโซ่ต่อระบบเศรษฐกิจและการเงินทั่วโลก
1. ผลกระทบต่อค่าเงินดอลลาร์และทองคำ
ค่าเงินดอลลาร์อ่อนค่าลง การลดดอกเบี้ยทำให้ผลตอบแทนจากการถือครองเงินดอลลาร์ลดลง ความต้องการเงินดอลลาร์จึงลดลงตามไปด้วย ส่งผลให้ดัชนีค่าเงินดอลลาร์ (DXY) ปรับตัวลงอย่างชัดเจน
ราคาทองคำพุ่งสูงขึ้น เมื่อเงินดอลลาร์อ่อนค่าลง ราคาทองคำซึ่งซื้อขายเป็นดอลลาร์จะมีราคาถูกลงสำหรับผู้ถือเงินสกุลอื่น นอกจากนี้ ความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจที่ Fed ส่งสัญญาณออกมายังหนุนให้ทองคำกลายเป็นสินทรัพย์ปลอดภัยที่น่าดึงดูด ทำให้ราคามีแนวโน้มขาขึ้น
2. ผลกระทบต่อตลาดหุ้นและพันธบัตร
ตลาดหุ้นได้รับปัจจัยบวก การลดดอกเบี้ยช่วยลดต้นทุนการกู้ยืมของบริษัท ทำให้กำไรเพิ่มขึ้น นอกจากนี้ยังทำให้การประเมินมูลค่าหุ้นน่าสนใจยิ่งขึ้น นักลงทุนจึงมีแนวโน้มจะเข้าลงทุนในหุ้นมากขึ้น
ผลตอบแทนพันธบัตรลดลง ราคาพันธบัตรจะปรับตัวสูงขึ้นและผลตอบแทน (yield) ลดลงตามอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ลดลง การลงทุนในพันธบัตรจึงให้ผลตอบแทนน้อยลงเมื่อเทียบกับความเสี่ยง
3. ผลกระทบต่อเศรษฐกิจสหรัฐฯ และเศรษฐกิจโลก
กระตุ้นเศรษฐกิจสหรัฐฯ การลดดอกเบี้ยมีเป้าหมายเพื่อกระตุ้นให้เกิดการกู้ยืมและการลงทุนมากขึ้น ทั้งจากภาคธุรกิจและผู้บริโภค เพื่อประคองเศรษฐกิจให้ยังคงเติบโตต่อไปได้
ลดแรงกดดันต่อค่าเงินในประเทศอื่น เมื่อ Fed มีท่าทีผ่อนคลายนโยบาย ธนาคารกลางของประเทศอื่นๆ ก็จะมีโอกาสลดดอกเบี้ยตามไปด้วยโดยไม่ต้องกังวลว่าค่าเงินของตนจะอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับดอลลาร์มากเกินไป ทำให้สามารถใช้นโยบายการเงินที่เหมาะสมกับสภาพเศรษฐกิจภายในประเทศของตนเองได้ง่ายขึ้น
การตัดสินใจของ Fed ครั้งนี้เป็นการส่งสัญญาณที่ชัดเจนว่า Fed ได้เปลี่ยนจุดยืนจากการต่อสู้กับเงินเฟ้อ มาเป็นการประคองตลาดแรงงานและเศรษฐกิจที่กำลังเผชิญความเสี่ยง ซึ่งจะส่งผลให้เงินทุนไหลออกจากเงินดอลลาร์ไปยังสินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนสูงขึ้นอย่างหุ้น และสินทรัพย์ปลอดภัยอย่างทองคำ ทำให้ทั้งสองตลาดมีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่องในระยะถัดไป
ในบริบทของข่าวนี้ การที่ Fed ลดดอกเบี้ยและมีท่าทีที่ผ่อนคลายนโยบาย (Dovish) อาจส่งผลดีต่อตลาดหุ้นได้เช่นกัน แต่คำถามที่ว่า "นักลงทุนจะย้ายเงินออกจากทองไปซื้อหุ้นไหม" นั้นมีความซับซ้อนและขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย ดังนี้
ผลกระทบต่อตลาดหุ้น
การลดอัตราดอกเบี้ยของ Fed มักจะถูกตีความว่าเป็นปัจจัยบวกต่อตลาดหุ้นด้วยเหตุผลหลักๆ คือ
-
ลดต้นทุนการกู้ยืม บริษัทต่างๆ สามารถกู้ยืมเงินได้ในอัตราดอกเบี้ยที่ต่ำลง ทำให้ต้นทุนทางการเงินลดลง ส่งผลให้กำไรของบริษัทเพิ่มขึ้น
-
กระตุ้นการบริโภคและการลงทุน การลดดอกเบี้ยช่วยลดภาระหนี้สินของผู้บริโภคและกระตุ้นให้เกิดการกู้ยืมเพื่อซื้อสินค้าหรือลงทุน ทำให้เศรษฐกิจโดยรวมเติบโต
-
เพิ่มมูลค่าการประเมินราคาหุ้น นักวิเคราะห์มักใช้การประเมินมูลค่าหุ้นโดยคำนวณจากกระแสเงินสดในอนาคตที่นำมาคิดลดด้วยอัตราดอกเบี้ยที่ต่ำลง การลดดอกเบี้ยจึงทำให้มูลค่าในปัจจุบันของกระแสเงินสดในอนาคตสูงขึ้น ส่งผลให้มูลค่าที่เหมาะสมของหุ้นเพิ่มขึ้น
ดังนั้น จากข่าวที่ Fed ลดดอกเบี้ยและมีแนวโน้มจะลดดอกเบี้ยอีกในอนาคต นักลงทุนจึงมีแนวโน้มที่จะมองว่าสภาพแวดล้อมทางเศรษฐกิจเป็นมิตรกับการเติบโตของบริษัทและอาจจะหันมาลงทุนในหุ้นมากขึ้น
ความสัมพันธ์ระหว่างทองคำกับหุ้น
โดยปกติแล้ว ทองคำและหุ้นมีความสัมพันธ์ในเชิงตรงกันข้ามในสถานการณ์ปกติ กล่าวคือ
-
เมื่อเศรษฐกิจดีและตลาดเป็นขาขึ้น นักลงทุนจะมองหาโอกาสในการสร้างผลตอบแทนที่สูงกว่าจากการลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยง เช่น หุ้น ทำให้เงินทุนไหลออกจากทองคำไปสู่ตลาดหุ้น
-
เมื่อเศรษฐกิจไม่แน่นอนและมีความเสี่ยง นักลงทุนจะย้ายเงินจากสินทรัพย์เสี่ยง (หุ้น) มาสู่สินทรัพย์ปลอดภัย (ทองคำ) เพื่อรักษามูลค่าของเงินทุน
อย่างไรก็ตาม ในสถานการณ์ที่ซับซ้อนนี้ อาจเกิดปรากฏการณ์ที่หมายถึงเศรษฐกิจที่เติบโตไม่เร็วเกินไปจนทำให้เกิดเงินเฟ้อ และไม่ช้าเกินไปจนทำให้เกิดภาวะถดถอย ซึ่งในกรณีนี้ Fed ลดดอกเบี้ยเพื่อประคองเศรษฐกิจที่กำลังชะลอตัวให้ยังคงเติบโตต่อไปได้ และลดความเสี่ยงจากการถดถอยอย่างรุนแรง
มีโอกาสที่นักลงทุนจะย้ายเงินบางส่วนออกจากทองคำไปซื้อหุ้นได้ในระยะสั้น แต่ไม่ใช่ทั้งหมดและไม่ใช่ในทันที เนื่องจาก
-
ตลาดหุ้นได้รับผลบวก นโยบายการลดดอกเบี้ยเป็นข่าวดีสำหรับตลาดหุ้น นักลงทุนที่มองว่า Fed สามารถประคองเศรษฐกิจให้รอดพ้นจากภาวะถดถอยได้สำเร็จ อาจจะเริ่มเข้าซื้อหุ้นเพื่อทำกำไร
-
ทองคำยังคงมีบทบาท แม้จะมีข่าวดีต่อหุ้น แต่คำแถลงของพาวเวลล์ก็ยังเต็มไปด้วยความระมัดระวัง เช่น ยอมรับว่าตลาดแรงงานอ่อนตัวลงอย่างชัดเจน และยังมีความเสี่ยงจากเงินเฟ้อจากภาษีนำเข้า ความไม่แน่นอนเหล่านี้ยังคงทำให้ทองคำเป็นที่ต้องการในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัย เพื่อป้องกันความเสี่ยงจากเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดในอนาคต
สรุปคือ ทั้งทองคำและหุ้นต่างได้รับผลบวกจากปัจจัยคนละมุม แต่ในลักษณะที่แตกต่างกัน
-
หุ้น ได้รับแรงหนุนจากมุมมองที่ว่า การลดดอกเบี้ยจะช่วยประคองเศรษฐกิจและเพิ่มกำไรบริษัท
-
ทองคำ ได้รับแรงหนุนจากมุมมองที่ว่า ความเสี่ยงต่อเศรษฐกิจยังคงมีอยู่ แม้จะมีการลดดอกเบี้ยเพื่อบริหารความเสี่ยงแล้วก็ตาม
นักลงทุนที่มีกลยุทธ์ที่หลากหลายอาจจะแบ่งเงินลงทุนไปในทั้งสองสินทรัพย์ตามสัดส่วนที่เหมาะสม เพื่อใช้ประโยชน์จากข่าวดีต่อตลาดหุ้น ในขณะที่ยังคงรักษาสัดส่วนของสินทรัพย์ปลอดภัยไว้เพื่อป้องกันความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต
ทิ้งคำตอบไว้
-
สรุปพาเวล พูดเมื่อวันที่ 16/05/2025
4 เดือน ที่ผ่านมา
-
การแถลงของ Jerome Powell ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) 07/05/2025
4 เดือน ที่ผ่านมา
-
รายงาน FED อาทิตย์นี้
5 เดือน ที่ผ่านมา
-
รายงานสถานการณ์ Fed 09/04/2025
5 เดือน ที่ผ่านมา
-
ความเคลื่อนไหว Fed เกี่ยวกับ ภาษีนำเข้าของทรัมป์ที่เล่นงานประเทศอื่นอยู่
5 เดือน ที่ผ่านมา
- 44 ฟอรัม
- 2,974 หัวข้อ
- 8,509 กระทู้
- 19 ออนไลน์
- 3,945 สมาชิก