การแจ้งเตือน
ลบทั้งหมด

ปัญหาของระบบเทรดอัตโนมัติ (Expert Advisor: EA) ที่ได้ผลดีจาก Backtest แต่ล้มเหลวในตลาดจริง

1 กระทู้
1 ผู้ใช้
3 Reactions
37 เข้าชม
James Albert
(@james-albert)
สมาชิก
Rank F
เข้าร่วม: 6 เดือน ที่ผ่านมา
กระทู้: 135
หัวข้อเริ่มต้น  

ระบบเทรดอัตโนมัติ (Expert Advisor: EA) ได้รับความนิยมในหมู่นักลงทุนและนักเทรด เนื่องจากความสามารถในการวิเคราะห์ข้อมูลและดำเนินการซื้อขายโดยอัตโนมัติ อย่างไรก็ตาม มีหลายกรณีที่ระบบ EA สามารถทำกำไรได้ดีใน Backtest แต่เมื่อใช้งานจริงกลับล้มเหลว บทความนี้วิเคราะห์สาเหตุหลักที่ทำให้ EA ไม่สามารถทำงานได้ดีในตลาดจริง ได้แก่ การปรับจูนมากเกินไป (Overfitting), ความแตกต่างระหว่างเงื่อนไข Backtest และตลาดจริง, กลยุทธ์ที่มีความเสี่ยงสูง และการเปลี่ยนแปลงของตลาด การทำความเข้าใจปัจจัยเหล่านี้จะช่วยให้นักลงทุนเลือกและพัฒนาระบบ EA ที่มีความเสถียรและเหมาะสมกับตลาดจริงมากขึ้น

1. บทนำ

การใช้ระบบเทรดอัตโนมัติ (EA) ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นในหมู่นักลงทุน เนื่องจากสามารถลดอารมณ์ในการซื้อขายและดำเนินกลยุทธ์ตามที่กำหนดไว้ล่วงหน้า อย่างไรก็ตาม ปัญหาสำคัญที่พบคือ EA หลายตัวสามารถสร้างผลตอบแทนสูงในการทดสอบย้อนหลัง (Backtest) แต่เมื่อนำไปใช้งานจริงกลับล้มเหลว บทความนี้จะวิเคราะห์ปัจจัยที่ทำให้เกิดความแตกต่างระหว่าง Backtest และการใช้งานจริง รวมถึงแนวทางการพัฒนา EA ให้มีความเสถียรมากขึ้น

2. ปัจจัยที่ทำให้ EA ไม่สามารถทำกำไรในตลาดจริง

2.1 การปรับจูนมากเกินไป (Overfitting)

Overfitting เกิดขึ้นเมื่อ EA ถูกออกแบบให้เหมาะสมกับข้อมูลในอดีตมากเกินไป แต่ไม่สามารถปรับตัวกับข้อมูลใหม่ได้ ระบบที่ผ่านการปรับแต่งมากเกินไปอาจสามารถจับสัญญาณการเคลื่อนไหวของตลาดในอดีตได้อย่างแม่นยำ แต่เมื่อตลาดมีการเปลี่ยนแปลง ระบบจะไม่สามารถตอบสนองได้ ส่งผลให้ประสิทธิภาพลดลงอย่างมาก

ตัวอย่างเช่น EA ที่ถูกออกแบบให้ซื้อขายตามแนวโน้ม (Trend Following) โดยใช้ค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ (Moving Average) ที่เหมาะสมกับข้อมูลของปี 2020-2022 อาจทำกำไรได้ดีในช่วงเวลาดังกล่าว แต่เมื่อเงื่อนไขตลาดเปลี่ยนเป็นภาวะไร้แนวโน้ม (Sideway) ในปี 2023 ระบบจะไม่สามารถทำกำไรได้

2.2 ความแตกต่างระหว่าง Backtest และตลาดจริง

Backtest ใช้ข้อมูลย้อนหลังและจำลองสภาพตลาด แต่ไม่สามารถสะท้อนสภาพแวดล้อมการซื้อขายจริงได้อย่างสมบูรณ์ โดยมีปัจจัยที่แตกต่างกัน ได้แก่:

  • Slippage และ Spread: ใน Backtest การซื้อขายมักถูกจำลองให้เกิดขึ้นในราคาที่กำหนด แต่ในตลาดจริง อาจเกิด Slippage ทำให้ราคาซื้อขายคลาดเคลื่อนจากที่คาดการณ์ไว้

  • Liquidity และ Market Impact: ในตลาดจริง ปริมาณการซื้อขาย (Liquidity) อาจไม่เพียงพอสำหรับคำสั่งขนาดใหญ่ ทำให้ราคามีการเคลื่อนไหวที่คาดเดาไม่ได้

  • Execution Delay: การส่งคำสั่งซื้อขายในตลาดจริงอาจมีความล่าช้า ส่งผลให้ผลลัพธ์แตกต่างจาก Backtest

ตัวอย่างเช่น EA ที่ใช้กลยุทธ์ Scalping โดยตั้งค่า Stop Loss ที่ 5 pips และ Take Profit ที่ 10 pips อาจดูเหมือนทำกำไรได้ดีใน Backtest แต่เมื่อใช้งานจริง พบว่า Slippage และ Spread ส่งผลให้ Take Profit ถูกลดลง และ Stop Loss ถูกขยายขึ้น ทำให้กำไรลดลงหรือขาดทุน

2.3 กลยุทธ์ที่มีความเสี่ยงสูง

EA ที่โฆษณาว่าสามารถทำกำไรสูงมักใช้กลยุทธ์ที่มีความเสี่ยงสูง เช่น:

  • Martingale: เพิ่มขนาดการเทรดเมื่อขาดทุน เพื่อให้สามารถคืนทุนและทำกำไรเมื่อราคาเคลื่อนกลับไปทิศทางที่ต้องการ อย่างไรก็ตาม หากตลาดเคลื่อนที่ผิดทางเป็นระยะเวลานาน อาจทำให้พอร์ตการลงทุนล้มเหลว

  • Grid Trading: เปิดคำสั่งซื้อและขายจำนวนมากโดยหวังว่าราคาจะกลับมาที่จุดสมดุล แต่หากตลาดเกิดแนวโน้มที่รุนแรง อาจทำให้เกิดการขาดทุนอย่างต่อเนื่อง

ตัวอย่างเช่น EA ที่ใช้ Martingale ในการซื้อขาย EUR/USD เริ่มต้นที่ 0.1 lot หากขาดทุนจะเพิ่มเป็น 0.2 → 0.4 → 0.8 lot ซึ่งหากราคาเคลื่อนไหวผิดทางอย่างต่อเนื่อง อาจทำให้พอร์ตถูกล้างได้

2.4 การเปลี่ยนแปลงของตลาด

ตลาดการเงินมีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา เช่น นโยบายทางเศรษฐกิจ การเปลี่ยนแปลงอัตราดอกเบี้ย และปัจจัยทางการเมือง ทำให้กลยุทธ์ที่เคยใช้ได้ผลอาจไม่สามารถนำมาใช้ได้อีก

ตัวอย่างเช่น กลยุทธ์ Mean Reversion ซึ่งอาศัยหลักการที่ว่าราคามักจะกลับไปสู่ค่าเฉลี่ย หากใช้ในช่วงที่ตลาดมีแนวโน้มที่รุนแรง (เช่น ในช่วงวิกฤตเศรษฐกิจ) อาจทำให้เกิดการขาดทุนหนัก

3. แนวทางแก้ไขและการพัฒนา EA ที่มีความเสถียร

เพื่อให้ EA สามารถทำงานได้ดีในตลาดจริง ควรพิจารณาหลักการดังต่อไปนี้:

  • การทดสอบ Forward Test: ใช้บัญชีเดโม่หรือบัญชีจริงที่มีขนาดเล็กเพื่อทดสอบผลลัพธ์ของ EA ในสภาวะตลาดจริง

  • การออกแบบระบบที่มีการบริหารความเสี่ยง: หลีกเลี่ยงการใช้ Martingale หรือ Grid Trading และกำหนด Stop Loss ที่เหมาะสม

  • การทดสอบด้วยข้อมูลตลาดที่แตกต่างกัน: ใช้ข้อมูลที่ครอบคลุมช่วงเวลาหลายปีและตลาดที่แตกต่างกันเพื่อตรวจสอบความยืดหยุ่นของระบบ

  • การคำนึงถึง Slippage และ Spread: ใช้ Backtest ที่มีการจำลองเงื่อนไขตลาดจริงเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่สมจริง

4. บทสรุป

แม้ว่า EA จะสามารถทำกำไรใน Backtest ได้ดี แต่มีหลายปัจจัยที่อาจทำให้ไม่สามารถทำกำไรในตลาดจริงได้ เช่น Overfitting, ความแตกต่างของสภาวะตลาดจริง, กลยุทธ์ที่มีความเสี่ยงสูง และการเปลี่ยนแปลงของตลาด การพัฒนา EA ที่มีความเสถียรต้องอาศัยการทดสอบที่รอบคอบและการบริหารความเสี่ยงที่เหมาะสม เพื่อให้สามารถใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพในตลาดการเงินที่เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา


   
อ้างอิง

ทิ้งคำตอบไว้

ชื่อผู้แต่ง

อีเมลผู้เขียน

ตำแหน่ง *

You are not allowed to attach files on this forum. It is possible that you have not reached the minimum required number of posts, or your user group does not have permission to attach files in this forum.
 
ดูตัวอย่าง แก้ไข 0 ครั้ง บันทึกแล้ว
แบ่งปัน: