พิชิตตลาดด้วยกลยุทธ์ Opening Range Breakout (ORB)
Opening Range Breakout (ORB) เป็นกลยุทธ์การเทรดที่ได้รับความนิยมอย่างสูงในหมู่นักเทรดรายวัน (Day Trader) เนื่องจากความเรียบง่ายและประสิทธิภาพในการหาจังหวะเข้าเทรดในช่วงเปิดตลาดที่มีความผันผวนสูง กลยุทธ์นี้อาศัยหลักการที่ว่าราคาในช่วงเปิดตลาดมักจะกำหนดทิศทางของแนวโน้มในวันนั้นๆ
แนวคิดหลักของกลยุทธ์ ORB
หัวใจของกลยุทธ์ ORB คือการกำหนด "กรอบราคาเปิด" (Opening Range) ซึ่งเป็นกรอบราคาสูงสุดและต่ำสุดของแท่งเทียนแรกหลังจากตลาดเปิดทำการ เมื่อราคาทะลุ (Breakout) กรอบราคานี้ไปในทิศทางใดทิศทางหนึ่ง จะถือเป็นสัญญาณในการเข้าเทรดตามทิศทางนั้น
สินค้าที่สามารถใช้กลยุทธ์ ORB ได้
กลยุทธ์ ORB สามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้กับสินค้าหลากหลายประเภทที่มีสภาพคล่องสูงและมีความผันผวนในช่วงเปิดตลาด เช่น:
-
ดัชนีหุ้น: S&P 500, NASDAQ, Dow Jones
-
หุ้นรายตัว: หุ้นที่มีปริมาณการซื้อขายสูง
-
สินค้าโภคภัณฑ์: ทองคำ, น้ำมัน
-
สกุลเงิน (Forex): คู่เงินหลัก เช่น EUR/USD, GBP/USD, USD/JPY
Timeframe ที่เหมาะสม
Timeframe ที่นิยมใช้กับกลยุทธ์ ORB มากที่สุดคือ 15 นาที (M15) เนื่องจากให้ความสมดุลระหว่างความน่าเชื่อถือของสัญญาณและการหาจังหวะเข้าเทรดที่ไม่ช้าเกินไป อย่างไรก็ตาม นักเทรดสามารถปรับเปลี่ยน Timeframe ได้ตามความถนัดและความเสี่ยงที่ยอมรับได้ เช่น 5 นาที (M5) หรือ 30 นาที (M30)
วิธีการติดตั้ง Indicator
โดยทั่วไปแล้ว กลยุทธ์ ORB ไม่จำเป็นต้องใช้ Indicator ที่ซับซ้อน เพียงแค่ใช้เครื่องมือพื้นฐานที่มีในโปรแกรมเทรดทั่วไปก็เพียงพอแล้ว:
-
กำหนดช่วงเวลาเปิดตลาด: ตั้งค่าเส้นแนวตั้ง (Vertical Line) บนกราฟเพื่อระบุเวลาเปิดตลาดของสินทรัพย์ที่ต้องการเทรด เช่น ตลาดหุ้นนิวยอร์กเปิดเวลา 9:30 น. (ตามเวลาท้องถิ่น)
-
วาดกรอบราคาเปิด: หลังจากแท่งเทียนแรก (ตาม Timeframe ที่เลือก) ปิดตัวลง ให้วาดเส้นแนวนอน (Horizontal Line) 2 เส้น ที่ราคาสูงสุด (High) และราคาต่ำสุด (Low) ของแท่งเทียนนั้น เพื่อสร้างกรอบราคาเปิด
วิธีการใช้งาน
1. สัญญาณเข้าซื้อ (Entry Buy)
-
เงื่อนไข: ราคาทะลุแนวต้าน (เส้นแนวนอนด้านบน) ของกรอบราคาเปิดขึ้นไป
-
จังหวะเข้า:
-
แบบ Aggressive: เข้าซื้อทันทีที่แท่งเทียนปิดเหนือแนวต้าน (มีความเสี่ยงสูงจากสัญญาณหลอก)
-
แบบ Conservative (แนะนำ): รอให้ราคาย่อตัวกลับมาทดสอบ (Retest) แนวต้านที่เพิ่งทะลุผ่านไป ซึ่งตอนนี้กลายเป็นแนวรับ แล้วจึงเข้าซื้อ
-
แบบ Confirmation: รอให้ราคาทะลุจุดสูงสุดของแท่งเทียนที่เบรกเอาต์ขึ้นไปอีกครั้ง เพื่อยืนยันแนวโน้มขาขึ้นที่แข็งแกร่ง
-
2. สัญญาณเข้าขาย (Entry Sell)
-
เงื่อนไข: ราคาทะลุแนวรับ (เส้นแนวนอนด้านล่าง) ของกรอบราคาเปิดลงมา
-
จังหวะเข้า:
-
แบบ Aggressive: เข้าขายทันทีที่แท่งเทียนปิดต่ำกว่าแนวรับ
-
แบบ Conservative (แนะนำ): รอให้ราคาดีดตัวกลับขึ้นไปทดสอบ (Retest) แนวรับที่เพิ่งทะลุผ่านไป ซึ่งตอนนี้กลายเป็นแนวต้าน แล้วจึงเข้าขาย
-
แบบ Confirmation: รอให้ราคาทะลุจุดต่ำสุดของแท่งเทียนที่เบรกเอาต์ลงไปอีกครั้ง เพื่อยืนยันแนวโน้มขาลงที่แข็งแกร่ง
-
การตั้งจุดทำกำไร (Take Profit - TP) และจุดตัดขาดทุน (Stop Loss - SL)
-
Stop Loss (SL):
-
สำหรับ Buy: ตั้ง SL ไว้ต่ำกว่าแนวต้านของกรอบราคาเปิดเล็กน้อย หรือต่ำกว่าจุดต่ำสุดของแท่งเทียนที่เบรกเอาต์
-
สำหรับ Sell: ตั้ง SL ไว้สูงกว่าแนวรับของกรอบราคาเปิดเล็กน้อย หรือสูงกว่าจุดสูงสุดของแท่งเทียนที่เบรกเอาต์
-
-
Take Profit (TP):
-
ใช้ Risk/Reward Ratio: กำหนดอัตราส่วนความเสี่ยงต่อผลตอบแทนที่เหมาะสม เช่น 1:1.5 หรือ 1:2
-
ใช้แนวรับ-แนวต้านถัดไป: มองหาแนวรับหรือแนวต้านที่สำคัญใน Timeframe ที่ใหญ่ขึ้นเป็นเป้าหมายในการทำกำไร
-
ข้อควรระวัง
-
สัญญาณหลอก (False Breakout): กลยุทธ์ ORB อาจให้สัญญาณหลอกได้ โดยเฉพาะในช่วงที่ตลาดมีความผันผวนสูง การรอสัญญาณยืนยัน (Confirmation) จะช่วยลดความเสี่ยงนี้ได้
-
บริบทของตลาด: ควรพิจารณาแนวโน้มโดยรวมของตลาดใน Timeframe ที่ใหญ่ขึ้นประกอบการตัดสินใจเสมอ ไม่ควรเทรดสวนแนวโน้มหลัก
-
การบริหารความเสี่ยง: กำหนดขนาดของ Position และจุดตัดขาดทุนที่ชัดเจนทุกครั้ง เพื่อจำกัดความเสียหายที่อาจเกิดขึ้น
กลยุทธ์ Opening Range Breakout เป็นเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพในการหาจังหวะเข้าเทรดในช่วงเปิดตลาด แต่สิ่งสำคัญที่สุดคือการฝึกฝนและปรับใช้ให้เข้ากับสไตล์การเทรดของตนเอง รวมถึงการมีวินัยในการบริหารความเสี่ยงอย่างเคร่งครัด
ละเอียดมาก🙏
ทิ้งคำตอบไว้
- 44 ฟอรัม
- 3,156 หัวข้อ
- 9,509 กระทู้
- 212 ออนไลน์
- 4,174 สมาชิก






