กลยุทธ์เทรด "Storyline" พิชิตตลาดด้วยการวิเคราะห์โครงสร้างราคา
บทความนี้จะนำเสนอแนวคิดการเทรดที่ทรงพลังซึ่งอาศัยการวิเคราะห์พฤติกรรมราคา (Price Action) เป็นหัวใจหลัก โดยผสมผสานการใช้แนวรับ-แนวต้านในกรอบเวลาใหญ่เพื่อสร้าง "โครงเรื่อง" ของตลาด และหาจังหวะเข้าเทรดที่แม่นยำในกรอบเวลาที่เล็กลง กลยุทธ์นี้เหมาะสำหรับเทรดเดอร์ที่ต้องการทำความเข้าใจตลาดอย่างลึกซึ้งและเทรดโดยใช้กราฟที่สะอาดตา (Naked Chart)
แนวคิดหลักของกลยุทธ์ "Storyline"
หัวใจของกลยุทธ์นี้คือการมองตลาดให้เป็นเหมือนเรื่องเล่า (Storyline) ที่ดำเนินไปในแต่ละวัน เราจะใช้กรอบเวลาใหญ่ (Higher Timeframe) เช่น กราฟรายวัน (Daily) หรือรายสัปดาห์ (Weekly) เพื่อทำความเข้าใจภาพรวมของตลาด, แนวโน้มหลัก และระบุโซนราคาที่สำคัญที่สุด ซึ่งเปรียบเสมือน "ฉาก" หลักของเรื่อง
จากนั้น เราจะซูมเข้าไปในกรอบเวลาที่เล็กลง (Lower Timeframe) เช่น 4 ชั่วโมง (H4) หรือ 1 ชั่วโมง (H1) เพื่อหา "บทสนทนา" หรือพฤติกรรมราคาที่เกิดขึ้น ณ โซนสำคัญเหล่านั้น เพื่อหาจังหวะเข้าเทรดที่ได้เปรียบ
ระดับราคาสำคัญ 4 รูปแบบ:
-
แนวรับ (Support): โซนราคาที่เคยมีแรงซื้อเข้ามาดันราคาให้สูงขึ้นในอดีต
-
แนวต้าน (Resistance): โซนราคาที่เคยมีแรงขายเข้ามากดดันราคาให้ต่ำลงในอดีต
-
แนวรับโค้ง (Support Curve): ลักษณะการย่อตัวของราคาในกรอบเวลาเล็ก ซึ่งในกรอบเวลาใหญ่อาจเห็นเป็นเพียงการพักตัวหรือการชะลอตัวเล็กน้อยก่อนที่ราคาจะดีดตัวขึ้นต่อจากแนวรับ
-
แนวต้านโค้ง (Resistance Curve): ลักษณะการดีดตัวขึ้นของราคาในกรอบเวลาเล็ก ซึ่งในกรอบเวลาใหญ่อาจเห็นเป็นเพียงการพักตัวเล็กน้อยก่อนที่ราคาจะปรับตัวลงต่อจากแนวต้าน
ตรรกะการเข้าเทรดที่สำคัญที่สุดคือ "เด้งแล้วทะลุ" (Bounce plus Break) หมายความว่า เราจะไม่เข้าเทรดทันทีที่ราคามาถึงแนวรับหรือแนวต้าน แต่จะรอให้เกิดสัญญาณการกลับตัว (เด้ง) ก่อน แล้วจึงรอให้ราคาทะลุโครงสร้างย่อยๆ เพื่อยืนยันการเข้าสู่ทิศทางนั้นจริงๆ
สินค้าที่สามารถใช้กลยุทธ์นี้ได้
เนื่องจากเป็นกลยุทธ์ที่อิงจากพฤติกรรมราคาและโครงสร้างตลาดเป็นหลัก จึงสามารถประยุกต์ใช้ได้กับหลากหลายสินค้าที่มีสภาพคล่องและมีโครงสร้างแนวรับ-แนวต้านที่ชัดเจน เช่น:
-
ตลาด Forex: คู่เงินหลักและคู่เงินรองทุกสกุล
-
สินค้าโภคภัณฑ์: ทองคำ (XAU/USD), น้ำมัน (WTI, Brent)
-
ดัชนีตลาดหุ้น: S&P500, NASDAQ, Dow Jones
-
คริปโตเคอร์เรนซี: Bitcoin (BTC), Ethereum (ETH) ที่มีปริมาณการซื้อขายสูง
Timeframe ที่เหมาะสมในการใช้งาน
กลยุทธ์นี้ใช้การวิเคราะห์แบบ Multi-Timeframe (หลายกรอบเวลา) โดยมีหลักการคือ:
-
Higher Timeframe (HTF): ใช้สำหรับวิเคราะห์โครงสร้างหลัก, แนวโน้ม และตีเส้นแนวรับ-แนวต้านที่แข็งแกร่ง (เช่น Daily, Weekly)
-
Lower Timeframe (LTF): ใช้สำหรับหาจังหวะเข้าเทรดที่แม่นยำและยืนยันสัญญาณ (เช่น H4, H1)
คู่ Timeframe ที่แนะนำ:
-
Weekly + Daily
-
Daily + H4
-
H4 + H1
เทรดเดอร์สามารถเลือกคู่ที่เหมาะสมกับสไตล์การเทรดของตนเองได้ หากเป็น Swing Trader อาจใช้ Daily + H4 แต่ถ้าเป็น Day Trader อาจลดระดับมาใช้ H4 + H1
วิธีการติดตั้ง Indicator
กลยุทธ์นี้เป็นแบบ Price Action หรือ Naked Chart ซึ่งหมายความว่า ไม่จำเป็นต้องติดตั้ง Indicator พิเศษใดๆ เครื่องมือหลักที่ต้องใช้คือ:
-
เครื่องมือวาดเส้นแนวนอน (Horizontal Line): สำหรับตีเส้นแนวรับและแนวต้าน
-
แท่งเทียน (Candlesticks): เพื่อใช้อ่านพฤติกรรมและอารมณ์ของตลาด
การไม่ใช้อินดิเคเตอร์จะช่วยให้เทรดเดอร์จดจ่อกับสิ่งที่สำคัญที่สุด นั่นคือ "ราคา" และไม่ถูกรบกวนจากสัญญาณที่ล่าช้า
วิธีการใช้งาน
การเข้าเทรด (Entry Buy)
มองหาจังหวะซื้อเมื่อราคาลงมาทดสอบ แนวรับ (Support) หรือ แนวรับโค้ง (Support Curve) ใน Timeframe ใหญ่
-
ระบุแนวรับ: ตีเส้นแนวรับที่แข็งแกร่งใน Timeframe ใหญ่ (เช่น Daily)
-
รอราคามาทดสอบ: รอให้ราคาเคลื่อนที่ลงมาถึงโซนแนวรับนั้น
-
มองหาสัญญาณ "เด้ง": ใน Timeframe เล็ก (เช่น H4) มองหาแท่งเทียนกลับตัว เช่น Pin Bar, Bullish Engulfing หรือการที่ราคาไม่สามารถทำจุดต่ำสุดใหม่ได้ (Failure to make a new low)
-
รอสัญญาณ "ทะลุ": หลังจากเห็นการ "เด้ง" ให้รอราคาทะลุแนวต้านย่อยๆ หรือเส้นแนวโน้มขาลงระยะสั้นใน Timeframe เล็ก เพื่อเป็นการยืนยันว่าแรงซื้อได้กลับเข้ามาแล้ว
-
เข้า Buy: เข้าออเดอร์ Buy หลังจากราคาทะลุโครงสร้างย่อยนั้นได้
การเข้าเทรด (Entry Sell)
มองหาจังหวะขายเมื่อราคาขึ้นไปทดสอบ แนวต้าน (Resistance) หรือ แนวต้านโค้ง (Resistance Curve) ใน Timeframe ใหญ่
-
ระบุแนวต้าน: ตีเส้นแนวต้านที่แข็งแกร่งใน Timeframe ใหญ่ (เช่น Daily)
-
รอราคามาทดสอบ: รอให้ราคาเคลื่อนที่ขึ้นไปถึงโซนแนวต้านนั้น
-
มองหาสัญญาณ "เด้ง": ใน Timeframe เล็ก (เช่น H4) มองหาแท่งเทียนกลับตัว เช่น Shooting Star, Bearish Engulfing หรือการที่ราคาไม่สามารถทำจุดสูงสุดใหม่ได้ (Failure to make a new high)
-
รอสัญญาณ "ทะลุ": หลังจากเห็นการ "เด้ง" ให้รอราคาทะลุแนวรับย่อยๆ หรือเส้นแนวโน้มขาขึ้นระยะสั้นใน Timeframe เล็ก เพื่อเป็นการยืนยันว่าแรงขายได้กลับเข้ามาแล้ว
-
เข้า Sell: เข้าออเดอร์ Sell หลังจากราคาทะลุโครงสร้างย่อยนั้นได้
การตั้งจุดทำกำไร (Take Profit - TP)
-
สำหรับออเดอร์ Buy: ตั้ง TP ที่บริเวณ แนวต้านสำคัญถัดไป ใน Timeframe ใหญ่
-
สำหรับออเดอร์ Sell: ตั้ง TP ที่บริเวณ แนวรับสำคัญถัดไป ใน Timeframe ใหญ่
การตั้ง TP ที่โครงสร้างหลักถัดไปจะช่วยให้มีอัตราส่วนกำไรต่อความเสี่ยง (Risk:Reward Ratio) ที่คุ้มค่า
การตั้งจุดตัดขาดทุน (Stop Loss - SL)
-
สำหรับออเดอร์ Buy: ตั้ง SL ไว้ที่ ใต้จุดต่ำสุด (Swing Low) ล่าสุด ของชุดสัญญาณการเข้าเทรด หรือใต้โซนแนวรับเล็กน้อย
-
สำหรับออเดอร์ Sell: ตั้ง SL ไว้ที่ เหนือจุดสูงสุด (Swing High) ล่าสุด ของชุดสัญญาณการเข้าเทรด หรือเหนือโซนแนวต้านเล็กน้อย
การตั้ง SL ที่ชัดเจนเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งในการบริหารความเสี่ยง เพื่อป้องกันการขาดทุนหนักหากการวิเคราะห์ผิดพลาด
Slนี่ขาดไม่ได้เรยจืง
ทิ้งคำตอบไว้
- 44 ฟอรัม
- 3,156 หัวข้อ
- 9,509 กระทู้
- 212 ออนไลน์
- 4,174 สมาชิก






