coverอันดับนักแข่งเทรดมือ
การแจ้งเตือน
ลบทั้งหมด

กลยุทธ์เทรด "Storyline" พิชิตตลาดด้วยการวิเคราะห์โครงสร้างราคา

2 กระทู้
2 ผู้ใช้
1 Reactions
207 เข้าชม
James Albert
(@james-albert)
สมาชิก
โพสครบ 20 กะทู้
โพสกะทู้ครบ 300
โพสกะทู้ครบ 1000
ผู้มีส่วนร่วมสูงสุด
Rank E
เข้าร่วม: 1 ปี ที่ผ่านมา
กระทู้: 508
หัวข้อเริ่มต้น  

บทความนี้จะนำเสนอแนวคิดการเทรดที่ทรงพลังซึ่งอาศัยการวิเคราะห์พฤติกรรมราคา (Price Action) เป็นหัวใจหลัก โดยผสมผสานการใช้แนวรับ-แนวต้านในกรอบเวลาใหญ่เพื่อสร้าง "โครงเรื่อง" ของตลาด และหาจังหวะเข้าเทรดที่แม่นยำในกรอบเวลาที่เล็กลง กลยุทธ์นี้เหมาะสำหรับเทรดเดอร์ที่ต้องการทำความเข้าใจตลาดอย่างลึกซึ้งและเทรดโดยใช้กราฟที่สะอาดตา (Naked Chart)

 

แนวคิดหลักของกลยุทธ์ "Storyline"

 

หัวใจของกลยุทธ์นี้คือการมองตลาดให้เป็นเหมือนเรื่องเล่า (Storyline) ที่ดำเนินไปในแต่ละวัน เราจะใช้กรอบเวลาใหญ่ (Higher Timeframe) เช่น กราฟรายวัน (Daily) หรือรายสัปดาห์ (Weekly) เพื่อทำความเข้าใจภาพรวมของตลาด, แนวโน้มหลัก และระบุโซนราคาที่สำคัญที่สุด ซึ่งเปรียบเสมือน "ฉาก" หลักของเรื่อง

จากนั้น เราจะซูมเข้าไปในกรอบเวลาที่เล็กลง (Lower Timeframe) เช่น 4 ชั่วโมง (H4) หรือ 1 ชั่วโมง (H1) เพื่อหา "บทสนทนา" หรือพฤติกรรมราคาที่เกิดขึ้น ณ โซนสำคัญเหล่านั้น เพื่อหาจังหวะเข้าเทรดที่ได้เปรียบ

ระดับราคาสำคัญ 4 รูปแบบ:

  1. แนวรับ (Support): โซนราคาที่เคยมีแรงซื้อเข้ามาดันราคาให้สูงขึ้นในอดีต

  2. แนวต้าน (Resistance): โซนราคาที่เคยมีแรงขายเข้ามากดดันราคาให้ต่ำลงในอดีต

  3. แนวรับโค้ง (Support Curve): ลักษณะการย่อตัวของราคาในกรอบเวลาเล็ก ซึ่งในกรอบเวลาใหญ่อาจเห็นเป็นเพียงการพักตัวหรือการชะลอตัวเล็กน้อยก่อนที่ราคาจะดีดตัวขึ้นต่อจากแนวรับ

  4. แนวต้านโค้ง (Resistance Curve): ลักษณะการดีดตัวขึ้นของราคาในกรอบเวลาเล็ก ซึ่งในกรอบเวลาใหญ่อาจเห็นเป็นเพียงการพักตัวเล็กน้อยก่อนที่ราคาจะปรับตัวลงต่อจากแนวต้าน

ตรรกะการเข้าเทรดที่สำคัญที่สุดคือ "เด้งแล้วทะลุ" (Bounce plus Break) หมายความว่า เราจะไม่เข้าเทรดทันทีที่ราคามาถึงแนวรับหรือแนวต้าน แต่จะรอให้เกิดสัญญาณการกลับตัว (เด้ง) ก่อน แล้วจึงรอให้ราคาทะลุโครงสร้างย่อยๆ เพื่อยืนยันการเข้าสู่ทิศทางนั้นจริงๆ

 

สินค้าที่สามารถใช้กลยุทธ์นี้ได้

 

เนื่องจากเป็นกลยุทธ์ที่อิงจากพฤติกรรมราคาและโครงสร้างตลาดเป็นหลัก จึงสามารถประยุกต์ใช้ได้กับหลากหลายสินค้าที่มีสภาพคล่องและมีโครงสร้างแนวรับ-แนวต้านที่ชัดเจน เช่น:

  • ตลาด Forex: คู่เงินหลักและคู่เงินรองทุกสกุล

  • สินค้าโภคภัณฑ์: ทองคำ (XAU/USD), น้ำมัน (WTI, Brent)

  • ดัชนีตลาดหุ้น: S&P500, NASDAQ, Dow Jones

  • คริปโตเคอร์เรนซี: Bitcoin (BTC), Ethereum (ETH) ที่มีปริมาณการซื้อขายสูง

 

Timeframe ที่เหมาะสมในการใช้งาน

 

กลยุทธ์นี้ใช้การวิเคราะห์แบบ Multi-Timeframe (หลายกรอบเวลา) โดยมีหลักการคือ:

  • Higher Timeframe (HTF): ใช้สำหรับวิเคราะห์โครงสร้างหลัก, แนวโน้ม และตีเส้นแนวรับ-แนวต้านที่แข็งแกร่ง (เช่น Daily, Weekly)

  • Lower Timeframe (LTF): ใช้สำหรับหาจังหวะเข้าเทรดที่แม่นยำและยืนยันสัญญาณ (เช่น H4, H1)

คู่ Timeframe ที่แนะนำ:

  • Weekly + Daily

  • Daily + H4

  • H4 + H1

เทรดเดอร์สามารถเลือกคู่ที่เหมาะสมกับสไตล์การเทรดของตนเองได้ หากเป็น Swing Trader อาจใช้ Daily + H4 แต่ถ้าเป็น Day Trader อาจลดระดับมาใช้ H4 + H1

 

วิธีการติดตั้ง Indicator

 

กลยุทธ์นี้เป็นแบบ Price Action หรือ Naked Chart ซึ่งหมายความว่า ไม่จำเป็นต้องติดตั้ง Indicator พิเศษใดๆ เครื่องมือหลักที่ต้องใช้คือ:

  • เครื่องมือวาดเส้นแนวนอน (Horizontal Line): สำหรับตีเส้นแนวรับและแนวต้าน

  • แท่งเทียน (Candlesticks): เพื่อใช้อ่านพฤติกรรมและอารมณ์ของตลาด

การไม่ใช้อินดิเคเตอร์จะช่วยให้เทรดเดอร์จดจ่อกับสิ่งที่สำคัญที่สุด นั่นคือ "ราคา" และไม่ถูกรบกวนจากสัญญาณที่ล่าช้า

 

วิธีการใช้งาน

 

 

การเข้าเทรด (Entry Buy)

 

มองหาจังหวะซื้อเมื่อราคาลงมาทดสอบ แนวรับ (Support) หรือ แนวรับโค้ง (Support Curve) ใน Timeframe ใหญ่

  1. ระบุแนวรับ: ตีเส้นแนวรับที่แข็งแกร่งใน Timeframe ใหญ่ (เช่น Daily)

  2. รอราคามาทดสอบ: รอให้ราคาเคลื่อนที่ลงมาถึงโซนแนวรับนั้น

  3. มองหาสัญญาณ "เด้ง": ใน Timeframe เล็ก (เช่น H4) มองหาแท่งเทียนกลับตัว เช่น Pin Bar, Bullish Engulfing หรือการที่ราคาไม่สามารถทำจุดต่ำสุดใหม่ได้ (Failure to make a new low)

  4. รอสัญญาณ "ทะลุ": หลังจากเห็นการ "เด้ง" ให้รอราคาทะลุแนวต้านย่อยๆ หรือเส้นแนวโน้มขาลงระยะสั้นใน Timeframe เล็ก เพื่อเป็นการยืนยันว่าแรงซื้อได้กลับเข้ามาแล้ว

  5. เข้า Buy: เข้าออเดอร์ Buy หลังจากราคาทะลุโครงสร้างย่อยนั้นได้

 

การเข้าเทรด (Entry Sell)

 

มองหาจังหวะขายเมื่อราคาขึ้นไปทดสอบ แนวต้าน (Resistance) หรือ แนวต้านโค้ง (Resistance Curve) ใน Timeframe ใหญ่

  1. ระบุแนวต้าน: ตีเส้นแนวต้านที่แข็งแกร่งใน Timeframe ใหญ่ (เช่น Daily)

  2. รอราคามาทดสอบ: รอให้ราคาเคลื่อนที่ขึ้นไปถึงโซนแนวต้านนั้น

  3. มองหาสัญญาณ "เด้ง": ใน Timeframe เล็ก (เช่น H4) มองหาแท่งเทียนกลับตัว เช่น Shooting Star, Bearish Engulfing หรือการที่ราคาไม่สามารถทำจุดสูงสุดใหม่ได้ (Failure to make a new high)

  4. รอสัญญาณ "ทะลุ": หลังจากเห็นการ "เด้ง" ให้รอราคาทะลุแนวรับย่อยๆ หรือเส้นแนวโน้มขาขึ้นระยะสั้นใน Timeframe เล็ก เพื่อเป็นการยืนยันว่าแรงขายได้กลับเข้ามาแล้ว

  5. เข้า Sell: เข้าออเดอร์ Sell หลังจากราคาทะลุโครงสร้างย่อยนั้นได้

 

การตั้งจุดทำกำไร (Take Profit - TP)

 

  • สำหรับออเดอร์ Buy: ตั้ง TP ที่บริเวณ แนวต้านสำคัญถัดไป ใน Timeframe ใหญ่

  • สำหรับออเดอร์ Sell: ตั้ง TP ที่บริเวณ แนวรับสำคัญถัดไป ใน Timeframe ใหญ่

การตั้ง TP ที่โครงสร้างหลักถัดไปจะช่วยให้มีอัตราส่วนกำไรต่อความเสี่ยง (Risk:Reward Ratio) ที่คุ้มค่า

 

การตั้งจุดตัดขาดทุน (Stop Loss - SL)

 

  • สำหรับออเดอร์ Buy: ตั้ง SL ไว้ที่ ใต้จุดต่ำสุด (Swing Low) ล่าสุด ของชุดสัญญาณการเข้าเทรด หรือใต้โซนแนวรับเล็กน้อย

  • สำหรับออเดอร์ Sell: ตั้ง SL ไว้ที่ เหนือจุดสูงสุด (Swing High) ล่าสุด ของชุดสัญญาณการเข้าเทรด หรือเหนือโซนแนวต้านเล็กน้อย

การตั้ง SL ที่ชัดเจนเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งในการบริหารความเสี่ยง เพื่อป้องกันการขาดทุนหนักหากการวิเคราะห์ผิดพลาด



   
68com reacted
อ้างอิง
68com
(@68com)
สมาชิก
โพสครบ 20 กะทู้
Rank F
เข้าร่วม: 4 เดือน ที่ผ่านมา
กระทู้: 64
 

Slนี่ขาดไม่ได้เรยจืง



   
ตอบอ้างอิง

ทิ้งคำตอบไว้

ชื่อผู้แต่ง

อีเมลผู้เขียน

ตำแหน่ง *

You are not allowed to attach files on this forum. It is possible that you have not reached the minimum required number of posts, or your user group does not have permission to attach files in this forum.
 
ดูตัวอย่าง แก้ไข 0 ครั้ง บันทึกแล้ว
แบ่งปัน: