เว็บบอร์ดลงโพสต์ฟรี
ดูอันดับนักแข่ง ea
การแจ้งเตือน
ลบทั้งหมด

เราจะวางระยะ sl ใช้อะไรวัดบ้างครับ

3 กระทู้
2 ผู้ใช้
3 Reactions
43 เข้าชม
(@gg360)
สมาชิก
โพสครบ 20 กะทู้
Rookie
เข้าร่วม: 8 เดือน ที่ผ่านมา
กระทู้: 21
หัวข้อเริ่มต้น  

ขอคำแนะนำหน่อยครับ 


   
James Albert reacted
อ้างอิง
James Albert
(@james-albert)
สมาชิก
โพสครบ 20 กะทู้
โพสกะทู้ครบ 300
โพสกะทู้ครบ 1000
ผู้มีส่วนร่วมสูงสุด
Rank F
เข้าร่วม: 11 เดือน ที่ผ่านมา
กระทู้: 304
 

ในการเทรด CFD การกำหนดจุด Stop Loss (SL) เป็นสิ่งสำคัญมากเพื่อจำกัดความเสี่ยงและปกป้องเงินทุนครับ มีหลายวิธีในการวัดระยะ SL โดยแต่ละวิธีก็มีข้อดีและข้อเสียแตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับสไตล์การเทรด, กรอบเวลา, และความเสี่ยงที่ยอมรับได้ครับ

นี่คือปัจจัยและเครื่องมือหลัก ๆ ที่ใช้วัดระยะ SL ในการเทรด CFD:

  1. การวิเคราะห์ทางเทคนิค (Technical Analysis):

    • แนวรับ-แนวต้าน (Support and Resistance Levels):
      • วิธี: วาง SL ใต้แนวรับที่แข็งแกร่ง (สำหรับ Buy Position) หรือเหนือแนวต้านที่แข็งแกร่ง (สำหรับ Sell Position) โดยพิจารณาจากจุดที่ราคาเคยกลับตัวหรือหยุดชะงักบ่อย ๆ
      • ข้อดี: เป็นการใช้จุดที่มีนัยสำคัญทางจิตวิทยาของตลาด ทำให้ SL มีเหตุผลรองรับ
      • ข้อเสีย: แนวรับ-แนวต้านอาจถูกทะลุได้ และบางครั้งอาจไม่ชัดเจนนัก
    • เส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ (Moving Averages - MA):
      • วิธี: วาง SL ใต้เส้น MA ที่สำคัญ (เช่น MA 20, 50, 100, 200) สำหรับ Buy Position หรือเหนือเส้น MA สำหรับ Sell Position
      • ข้อดี: เป็น SL ที่ปรับเปลี่ยนตามราคา (dynamic) และสามารถใช้ได้ในทุกกรอบเวลา
      • ข้อเสีย: อาจเกิดการ Stop Out บ่อยครั้งหากราคาผันผวนรอบเส้น MA
    • โครงสร้างของกราฟ (Chart Patterns / Price Action):
      • วิธี: วาง SL ตามโครงสร้างของกราฟ เช่น ใต้จุดต่ำสุดของแท่งเทียนก่อนหน้า (สำหรับ Buy) หรือเหนือจุดสูงสุดของแท่งเทียนก่อนหน้า (สำหรับ Sell) หรือตามรูปแบบ Head and Shoulders, Double Top/Bottom เป็นต้น
      • ข้อดี: เป็นการใช้พฤติกรรมราคาจริง ๆ ในการกำหนด SL ที่แม่นยำ
      • ข้อเสีย: ต้องมีความเข้าใจในรูปแบบกราฟเป็นอย่างดี
    • เส้นเทรนด์ไลน์ (Trendlines):
      • วิธี: วาง SL ใต้เส้นเทรนด์ไลน์ขาขึ้น (สำหรับ Buy) หรือเหนือเส้นเทรนด์ไลน์ขาลง (สำหรับ Sell)
      • ข้อดี: ใช้สำหรับเทรดตามเทรนด์ และช่วยให้ SL อยู่ในทิศทางเดียวกับเทรนด์
      • ข้อเสีย: เส้นเทรนด์ไลน์อาจถูกทะลุได้ และการวาดเส้นเทรนด์ไลน์ต้องอาศัยประสบการณ์
    • Fibonacci Retracement:
      • วิธี: วาง SL ใต้ระดับ Fibonacci Retracement ที่สำคัญ (เช่น 0.382, 0.50, 0.618) ที่มักจะเป็นแนวรับ/ต้าน
      • ข้อดี: เป็นการใช้หลักการทางคณิตศาสตร์ที่ได้รับการยอมรับ และมักจะเป็นจุดกลับตัวของราคา
      • ข้อเสีย: ต้องเข้าใจหลักการ Fibonacci และต้องใช้ร่วมกับการวิเคราะห์อื่น ๆ
    • ATR (Average True Range):
      • วิธี: ATR เป็นตัวชี้วัดความผันผวนของราคา การใช้ ATR ในการกำหนด SL คือการนำค่า ATR มาคูณกับค่าคงที่ (เช่น 1.5 หรือ 2) แล้วนำไปวางห่างจากจุดเข้า
        • สำหรับ Buy Position: SL = Entry Price - (ATR * Multiple)
        • สำหรับ Sell Position: SL = Entry Price + (ATR * Multiple)
      • ข้อดี: SL จะปรับเปลี่ยนตามความผันผวนของตลาด หากตลาดผันผวนมาก SL ก็จะกว้างขึ้น เพื่อลดโอกาสในการ Stop Out จากการสวิงของราคา
      • ข้อเสีย: อาจทำให้ SL กว้างหรือแคบเกินไปในบางสถานการณ์ ขึ้นอยู่กับค่า Multiple ที่เลือกใช้
  2. การบริหารจัดการความเสี่ยง (Risk Management):

    • เปอร์เซ็นต์ของบัญชี (Percentage of Account):
      • วิธี: กำหนดความเสี่ยงเป็นเปอร์เซ็นต์ของเงินทุนในบัญชีที่คุณยอมรับได้ต่อการเทรดหนึ่งครั้ง (เช่น 1% หรือ 2% ของเงินทุนทั้งหมด)
      • สูตร: ขนาด SL (เป็นจุด) = (เงินทุนทั้งหมด * เปอร์เซ็นต์ความเสี่ยง) / (มูลค่าต่อจุดต่อล็อต * จำนวนล็อต)
      • ข้อดี: เป็นวิธีที่ควบคุมความเสี่ยงได้ดีที่สุด ทำให้คุณรู้ว่าหากเทรดเสียจะเสียเงินเท่าไหร่เมื่อเทียบกับเงินทุนทั้งหมด
      • ข้อเสีย: ไม่ได้พิจารณาจากโครงสร้างราคาโดยตรง แต่อย่างไรก็ตาม ควรใช้ร่วมกับการวิเคราะห์ทางเทคนิคเพื่อหาจุดวาง SL ที่เหมาะสมที่สุด
    • จำนวนเงินคงที่ (Fixed Monetary Amount):
      • วิธี: กำหนดจำนวนเงินที่คุณพร้อมจะเสียในการเทรดหนึ่งครั้ง (เช่น 100 USD ต่อการเทรด)
      • ข้อดี: ง่ายต่อการคำนวณและเข้าใจ
      • ข้อเสีย: ไม่ได้คำนึงถึงขนาดของบัญชีที่อาจเปลี่ยนแปลงไป
    • อัตราส่วน Risk-Reward (Risk-Reward Ratio - R:R):
      • วิธี: กำหนดเป้าหมายกำไร (Take Profit) ให้มีความสัมพันธ์กับระยะ SL เช่น หาก SL 50 จุด ควรตั้ง TP อย่างน้อย 100 จุด เพื่อให้ได้ R:R 1:2
      • ข้อดี: ช่วยให้การเทรดมีระบบและมีวินัยมากขึ้น แม้จะผิดพลาดบ่อยแต่หากได้กำไรเยอะเมื่อชนะ ก็ยังสามารถทำกำไรโดยรวมได้
      • ข้อเสีย: บางครั้งการตั้ง TP ตาม R:R อาจไม่สอดคล้องกับพฤติกรรมราคาจริง

สรุปการเลือกใช้วิธีวัด SL:

  • มือใหม่: ควรเริ่มต้นจากการกำหนดเปอร์เซ็นต์ความเสี่ยงของบัญชี (เช่น 1-2%) เป็นอันดับแรก จากนั้นค่อยใช้แนวรับ-แนวต้าน หรือโครงสร้างแท่งเทียนง่าย ๆ ในการวาง SL
  • ประสบการณ์มากขึ้น: สามารถนำ ATR, Fibonacci หรือ R:R มาใช้ร่วมกับการวิเคราะห์เชิงลึกมากขึ้น
  • สิ่งสำคัญที่สุด: คือการทำ Backtest และ Forward Test เพื่อดูว่าวิธีที่คุณเลือกนั้นเหมาะสมกับสไตล์การเทรดของคุณหรือไม่ และมีประสิทธิภาพในการทำกำไรในระยะยาวหรือไม่ครับ

คำแนะนำเพิ่มเติม:

  • หลีกเลี่ยงการวาง SL ที่แคบเกินไป: เพราะอาจทำให้โดน Stop Out ได้ง่ายจากความผันผวนของตลาด
  • หลีกเลี่ยงการวาง SL ที่กว้างเกินไป: เพราะอาจทำให้เสียเงินจำนวนมากหากการเทรดผิดทาง
  • ปรับเปลี่ยน SL ตามสภาวะตลาด: ตลาดมีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ดังนั้น SL ที่ใช้ได้ดีในสภาวะหนึ่ง อาจไม่เหมาะสมกับอีกสภาวะหนึ่ง
  • อย่าเลื่อน SL ไปไกลขึ้น: เมื่อราคาเคลื่อนไหวผิดทาง การเลื่อน SL ออกไปเป็นพฤติกรรมที่ไม่ควรทำ
  • ใช้ควบคู่กัน: วิธีที่ดีที่สุดคือการนำหลายๆ วิธีมาพิจารณาร่วมกัน เพื่อให้ได้จุด SL ที่มีเหตุผลและเหมาะสมที่สุดครับ

   
thanongsuk12 and Gg360 reacted
ตอบอ้างอิง
(@gg360)
สมาชิก
โพสครบ 20 กะทู้
Rookie
เข้าร่วม: 8 เดือน ที่ผ่านมา
กระทู้: 21
หัวข้อเริ่มต้น  

ยาวมาก ขอบคุณครับ ผมขอทำความเข้าใจก่อน


   
ตอบอ้างอิง

ทิ้งคำตอบไว้

ชื่อผู้แต่ง

อีเมลผู้เขียน

ตำแหน่ง *

You are not allowed to attach files on this forum. It is possible that you have not reached the minimum required number of posts, or your user group does not have permission to attach files in this forum.
 
ดูตัวอย่าง แก้ไข 0 ครั้ง บันทึกแล้ว
แบ่งปัน: