หัวใจของการเทรด: การควบคุมความเสี่ยงและบริหารเงินทุน
ในโลกของการเทรดที่เต็มไปด้วยการวิเคราะห์กราฟและค้นหาหุ้นเด็ด มีหนึ่งในองค์ประกอบที่สำคัญที่สุดแต่กลับถูกพูดถึงน้อยที่สุด นั่นคือ "การบริหารจัดการเงิน" (Money Management). หลายคนอาจมองข้ามมันไป โดยเข้าใจผิดว่าเกี่ยวข้องแค่การตั้งจุดตัดขาดทุน (Stop-loss). แต่ในความเป็นจริงแล้ว แก่นแท้ของมันคือการตอบคำถามสำคัญที่ว่า
"เมื่อจะเทรดแต่ละครั้ง ควรจะเทรดด้วยจำนวนเท่าไหร่?". การตัดสินใจนี้เป็นตัวกำหนดความเสี่ยงและเป็นหัวใจสำคัญที่แยกเทรดเดอร์ที่ประสบความสำเร็จออกจากผู้ที่ล้มเหลวในระยะยาว.
เปลี่ยนความคิด: คุณเป็น "นักลงทุน" หรือ "เทรดเดอร์"?
สาเหตุหนึ่งที่การบริหารความเสี่ยงถูกละเลย มาจากการที่ตลาดกระทิงที่ยาวนานได้สร้างอัจฉริยะในตลาดขึ้นมามากมาย. เมื่อความเสี่ยงที่รับรู้ได้อยู่ในระดับต่ำ ความจำเป็นในการจัดการความเสี่ยงจึงไม่ถูกให้ความสำคัญ. บทความได้จำแนกผู้เล่นในตลาดออกเป็น 2 ประเภท ซึ่งสะท้อนถึงแนวคิดที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง:
-
นักลงทุน (The Investor): เปรียบเสมือน "นักโบกรถบนทางด่วน" ที่หวังพึ่งพารถที่วิ่งไปในทิศทางเดียว. พวกเขาดำเนินการด้วยความหวังและศรัทธาว่าตลาดยังไงก็จะกลับขึ้นมา. และมักไม่มีแผนการที่ชัดเจนว่าจะออกจากสถานะเมื่อไหร่หากตลาดเริ่มวิ่งสวนทาง.
-
เทรดเดอร์ (The Trader): เปรียบได้กับ "นักแข่งรถในลานประลอง" (Demolition Derby). พวกเขาไม่ยึดติดกับหุ้นตัวใดตัวหนึ่ง. แต่จะใช้การบริหารความเสี่ยงที่เข้มงวดเปรียบเหมือน "เบรกและเข็มขัดนิรภัย" เพื่อปกป้องตนเองและเคลื่อนไหวได้อย่างรวดเร็ว. สำหรับเทรดเดอร์ ความสำเร็จมักขึ้นอยู่กับการใช้เบรกมากกว่าคันเร่ง.
จุดที่เหมาะสมที่สุด (The Sweet Spot) ระหว่างความเสี่ยงและผลตอบแทน
การบริหารจัดการเงินที่ดีคือการหาจุดสมดุลที่เรียกว่า "Sweet Spot". ซึ่งเป็นจุดที่สามารถสร้างผลตอบแทนได้สูงสุดภายใต้ความเสี่ยงที่ยอมรับได้.
-
Undertrading (ความเสี่ยงต่ำเกินไป): หากคุณเสี่ยงน้อยเกินไปในแต่ละครั้ง ผลตอบแทนที่ได้อาจไม่เพียงพอที่จะครอบคลุมค่าธรรมเนียมและค่าใช้จ่ายอื่นๆ ทำให้การเทรดกลายเป็นเรื่องที่ขาดทุน.
-
Overtrading (ความเสี่ยงสูงเกินไป): แม้ผลตอบแทนจะสูงขึ้น แต่ระดับการขาดทุน (Drawdown) ที่อาจเกิดขึ้นก็จะสูงตามไปด้วย. การเทรดในโซนนี้มีความเสี่ยงสูงที่การขาดทุนหนักเพียงครั้งเดียวอาจทำลายพอร์ตของคุณได้.
ภารกิจสู่การเป็นเทรดเดอร์ที่ประสบความสำเร็จ
เพื่อที่จะบริหารจัดการเงินได้อย่างเหมาะสม คุณต้องปฏิบัติภารกิจสำคัญดังต่อไปนี้:
-
กำหนดความเสี่ยงต่อการเทรด: นี่คือการตัดสินใจที่สำคัญที่สุด. เทรดเดอร์ชั้นนำหลายคนจำกัดความเสี่ยงในแต่ละครั้งไว้ที่น้อยกว่า 2% ของเงินทุนทั้งหมด. การจำกัดความเสี่ยงให้ต่ำจะช่วยปกป้องคุณจาก سلسلةการขาดทุนที่อาจทำให้พอร์ตเสียหายหนักและไม่สามารถกลับมาเทรดต่อได้.
-
คำนวณขนาดสถานะ: ก่อนเข้าเทรดทุกครั้ง คุณต้องรู้ราคาที่จะออกจากสถานะหากผิดทาง. จากนั้นจึงใช้ข้อมูลนี้ในการคำนวณขนาดสถานะที่เหมาะสมด้วยสูตร:
3.โดยที่ S คือจำนวนหุ้น, e คือมูลค่าพอร์ต, r คือเปอร์เซ็นต์ความเสี่ยง, p คือราคาเข้า, และ x คือราคาตัดขาดทุน. วิธีนี้จะทำให้คุณมั่นใจได้ว่าแม้จะเทรดผิดทาง แต่คุณจะขาดทุนไม่เกินจำนวนเงินที่กำหนดไว้ล่วงหน้า.
4. ติดตามและจัดการสถานะ: เมื่อราคาเคลื่อนไหวไปในทิศทางที่เป็นกำไร คุณจำเป็นต้องปรับจุดตัดขาดทุนตามขึ้นไปเพื่อเป็นการล็อคกำไร.
สิ่งที่ห้ามทำเด็ดขาดคือการเลื่อนจุดตัดขาดทุนให้ต่ำลงจากจุดเดิม เพราะนั่นคือการเพิ่มความเสี่ยงให้กับสถานะที่คุณมีกำไรอยู่แล้ว. จุดตัดขาดทุนควรเป็นวาล์วที่ให้เงินไหลจากตลาดเข้าสู่บัญชีของคุณเพียงทางเดียวเท่านั้น.
วินัยคือเกราะป้องกันสุดท้าย
แผนการบริหารจัดการเงินที่ยอดเยี่ยมที่สุดจะไร้ค่าหากปราศจากวินัยในการปฏิบัติตาม. เมื่อราคาวิ่งมาถึงจุดตัดขาดทุน คุณต้องยอมรับการขาดทุนนั้น. การลังเลหรือคาดเดาใหม่จะทำให้คุณรับความเสี่ยงเกินกว่าที่วางแผนไว้. การไม่ยอมตัดขาดทุนแล้วราคากลับมาเป็นกำไร ถือเป็นความผิดพลาดที่เลวร้ายที่สุด เพราะมันคือการให้รางวัลทางจิตวิทยาสำหรับการทำในสิ่งที่ผิด.
ทิ้งคำตอบไว้
- 45 ฟอรัม
- 3,227 หัวข้อ
- 9,830 กระทู้
- 18 ออนไลน์
- 4,219 สมาชิก






