ถอดรหัส Pivot Points: กลยุทธ์ทำกำไรสำหรับ Day Trader
Pivot Points เป็นเครื่องมือวิเคราะห์ทางเทคนิคที่สำคัญและทรงพลัง ซึ่งนักเทรดรายวัน (Day Trader) จำนวนมากนิยมใช้เพื่อคาดการณ์ทิศทางการเคลื่อนไหวของตลาด แนวคิดนี้มีรากฐานมาตั้งแต่สมัยที่การซื้อขายยังคงทำกันในห้องค้า (Floor Traders) และยังคงมีความสำคัญในปัจจุบันเนื่องจากเป็นระดับราคาที่มีผู้เฝ้าดูและใช้งานอย่างแพร่หลาย บทความนี้จะสรุปแก่นสำคัญของ Pivot Points ตั้งแต่แนวคิดพื้นฐาน วิธีการคำนวณ ไปจนถึงกลยุทธ์การใช้งานและคำเตือนที่สำคัญ
Pivot Points คืออะไร?
Pivot Points คือชุดของระดับราคาที่คำนวณขึ้นโดยใช้ข้อมูลราคาสูงสุด (High), ราคาต่ำสุด (Low), และราคาปิด (Close) ของวันทำการก่อนหน้า ระบบนี้ประกอบด้วยระดับราคาหลัก 7 ระดับ คือ จุด Pivot กลาง (P) หนึ่งระดับ, แนวต้าน (Resistance) สามระดับ (R1, R2, R3) และแนวรับ (Support) สามระดับ (S1, S2, S3) ระดับราคาเหล่านี้ทำหน้าที่เป็นแนวรับ-แนวต้านที่สำคัญซึ่งช่วยให้นักเทรดสามารถปรับตัวเข้ากับสภาวะตลาดในแต่ละวันได้
วิธีการคำนวณและระดับราคาสำคัญ
การคำนวณค่า Pivot Points จะทำก่อนตลาดเปิดทำการในแต่ละวัน โดยมีสูตรและนัยสำคัญดังนี้:
-
จุด Pivot (P): เป็นระดับที่สำคัญที่สุดและเป็นจุดสมดุลของวัน หากราคาซื้อขายอยู่เหนือระดับนี้ จะถือเป็นสัญญาณบวก (Bullish) และหากต่ำกว่าจะถือเป็นสัญญาณลบ (Bearish)
-
สูตร:
P=(High+Low+Close)/3
-
-
แนวรับ (Support Levels): เป็นโซนที่คาดว่าจะมีแรงซื้อเข้ามาพยุงราคา
-
S1 (แนวรับที่ 1): S1=P−(High−P) เป็นระดับแรกที่นักเทรดอาจเริ่มพิจารณาเข้าซื้อ
-
S2 (แนวรับที่ 2): S2=P−(High−Low) เป็นแนวรับที่แข็งแกร่งกว่า S1
-
S3 (แนวรับที่ 3): S3=Low−2∗(High−P) เป็นแนวรับที่แข็งแกร่งที่สุด ซึ่งไม่ค่อยถูกทดสอบบ่อยนัก แต่เมื่อราคาไปถึงจะถือเป็นจุดทำกำไรที่ยอดเยี่ยมสำหรับสถานะขาย
-
-
แนวต้าน (Resistance Levels): เป็นโซนที่คาดว่าจะมีแรงขายเข้ามาสกัดกั้นการขึ้นของราคา
-
R1 (แนวต้านที่ 1): R1=P+(P−Low) นักเทรดอาจใช้เป็นเป้าหมายทำกำไรหรือเป็นจุดเข้าขาย
-
R2 (แนวต้านที่ 2): R2=P+(High−Low) เป็นแนวต้านที่แข็งแกร่งขึ้นและเป็นจุดที่ดีในการขาย
-
R3 (แนวต้านที่ 3): R3=High+2∗(P−Low) เป็นแนวต้านที่แข็งแกร่งมากและอยู่ห่างจากราคาปัจจุบัน
-
กลยุทธ์การใช้งาน Pivot Points
โดยทั่วไป นักเทรดจะใช้แนวต้านเป็นจุดขายและใช้แนวรับเป็นจุดซื้อ ซึ่งกลยุทธ์นี้ทำงานได้ดีในตลาดที่มีการเคลื่อนไหวในกรอบ (Range-bound) นอกจากนี้ยังมีวิธีการประยุกต์ใช้อื่นๆ เช่น:
-
การเทรดตามแนวโน้ม (Breakout Trading): หากราคาทะลุผ่านระดับ Pivot ใดๆ ไปได้อย่างแข็งแกร่ง จะถือเป็นสัญญาณให้เข้าเทรดตามทิศทางนั้นๆ และตั้งเป้าทำกำไรที่ระดับถัดไป
-
การตั้งเป้าหมายและจุดตัดขาดทุน: Pivot Points เป็นระดับที่ยอดเยี่ยมในการกำหนดเป้าหมายการทำกำไร และยังสามารถใช้เป็นแนวทางในการวางจุดตัดขาดทุน (Stop-loss) ได้อีกด้วย
คำเตือนที่สำคัญ: อย่าใช้ Pivot Points เพียงลำพัง
แม้จะมีประโยชน์ แต่การใช้ Pivot Points ก็มีข้อควรระวังที่สำคัญคือ ไม่มีวิธีที่ "ถูก" หรือ "ผิด" ในการใช้งาน ในสภาวะที่ตลาดมีแนวโน้มแข็งแกร่ง แนวต้านอาจไม่ใช่จุดที่ดีในการขายเสมอไป เพราะราคาอาจทะลุผ่านขึ้นไปต่อได้ ในทางกลับกัน แนวรับก็อาจไม่ใช่จุดที่ดีที่สุดในการซื้อหากตลาดอยู่ในแนวโน้มขาลงที่อ่อนแอ
ด้วยเหตุนี้ นักเทรดมืออาชีพส่วนใหญ่จึงมักจะใช้ Pivot Points
ร่วมกับอินดิเคเตอร์ยืนยันแนวโน้ม (Confirmation Indicator) เช่น เส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ (Moving Average) เพื่อเพิ่มความแม่นยำ
-
หากแนวโน้มระยะยาวเป็นขาขึ้น: นักเทรดจะมองหาโอกาส "ซื้อ" ที่บริเวณแนวรับ (S1, S2, S3) หรือที่จุด Pivot (P) เท่านั้น
-
หากแนวโน้มระยะยาวเป็นขาลง: นักเทรดจะมองหาโอกาส "ขาย" ที่บริเวณแนวต้าน (R1, R2, R3) หรือที่จุด Pivot (P) เท่านั้น
บทสรุป
Pivot Points เป็นเครื่องมือที่ทรงพลังสำหรับนักเทรดรายวัน มีจุดแข็งอยู่ที่ความสามารถในการปรับตัวเข้ากับความผันผวนของตลาดในแต่ละวัน และการเป็นที่ยอมรับในวงกว้างของนักเทรด เมื่อใช้ประกอบกับเครื่องมือยืนยันแนวโน้มอื่นๆ จะช่วยให้นักเทรดสามารถหาจุดกลับตัว, กำหนดเป้าหมายทำกำไร และบริหารความเสี่ยงได้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น อย่างไรก็ตาม การซื้อขายทุกประเภทย่อมมีความเสี่ยงสูงและอาจส่งผลให้สูญเสียเงินทุนทั้งหมดได้ นักลงทุนจึงควรพิจารณาวัตถุประสงค์, ระดับประสบการณ์ และความเสี่ยงที่ยอมรับได้ของตนเองอย่างรอบคอบก่อนตัดสินใจลงทุน
ทิ้งคำตอบไว้
- 45 ฟอรัม
- 3,196 หัวข้อ
- 9,692 กระทู้
- 115 ออนไลน์
- 4,198 สมาชิก






