คู่มือ Swing Trading ฉบับสมบูรณ์สำหรับมือใหม่: เทรดสบายๆ ไม่ต้องเฝ้าจอ
สำหรับผู้ที่สนใจในการเทรดแต่มีเวลาจำกัดหรืองานประจำที่ต้องรับผิดชอบ การเทรดแบบ Swing Trading อาจเป็นคำตอบที่ลงตัวที่สุด บทความนี้จะสรุปเนื้อหาและกลยุทธ์การเทรดแบบ Swing อย่างละเอียด เพื่อเป็นแนวทางสำหรับนักลงทุนมือใหม่ที่ต้องการสร้างผลกำไรจากตลาดหุ้นโดยไม่ต้องเครียดกับการเฝ้าหน้าจอตลอดทั้งวัน
ทำไมต้อง Swing Trading?
Swing Trading คือกลยุทธ์การลงทุนที่เน้นการถือครองสถานะ (Position) เป็นระยะเวลาตั้งแต่ 2-3 วันไปจนถึงหลายสัปดาห์หรือหลายเดือน เพื่อทำกำไรจาก "วงสวิง" หรือการแกว่งตัวของราคาหุ้น ซึ่งมีข้อดีที่น่าสนใจหลายประการเมื่อเทียบกับการเทรดรายวัน (Day Trading)
ข้อดี:
-
ใช้เวลาน้อยลง: ไม่จำเป็นต้องตัดสินใจซื้อขายอย่างรวดเร็วและเฝ้ากราฟตลอดเวลา เหมาะสำหรับคนทำงานประจำ
-
ความเครียดต่ำกว่า: สภาพแวดล้อมการเทรดไม่กดดันเท่า Day Trading ทำให้มีเวลาไตร่ตรองและตัดสินใจมากขึ้น
-
เงินทุนเริ่มต้นน้อยกว่า: ไม่ติดกฎ Pattern Day Trader (PDT) ทำให้เริ่มต้นได้ด้วยเงินทุนที่ไม่สูงมาก
-
ความเสี่ยงจำกัด: โอกาสที่จะขาดทุนอย่างหนักภายในวันเดียวนั้นน้อยกว่ามาก
ข้อเสีย:
-
พอร์ตเติบโตช้ากว่า: โดยธรรมชาติแล้ว ผลตอบแทนอาจไม่รวดเร็วเท่าการเทรดรายวันที่ทำกำไรได้หลายรอบในวันเดียว
-
จังหวะการเทรดช้า: ต้องปรับตัวให้เข้ากับการเคลื่อนไหวของราคาที่ช้าลง โดยอาศัยการวิเคราะห์จากกราฟรายวันหรือรายสัปดาห์เป็นหลัก
แก่นหลักของการวิเคราะห์ทางเทคนิคสำหรับ Swing Trading
ความสำเร็จใน Swing Trading ขึ้นอยู่กับการวิเคราะห์ทางเทคนิคที่แม่นยำ โดยมีเครื่องมือและแนวคิดสำคัญดังนี้
1. กรอบเวลา (Timeframe) ที่เหมาะสม นักเทรดแบบ Swing จะใช้ กราฟรายวัน (Daily Chart) เป็นหลักในการวิเคราะห์ภาพรวมและหาจังหวะเข้าเทรด อาจใช้กราฟรายสัปดาห์ (Weekly Chart) เพื่อดูแนวโน้มระยะยาว และใช้กราฟราย 15 นาที หรือ 5 นาที เพื่อหาจุดเข้าซื้อขายที่แม่นยำยิ่งขึ้นเท่านั้น
2. แนวคิดอุปสงค์และอุปทาน (Supply & Demand)
-
แนวรับ (Support / Demand Zone): คือโซนราคาที่เคยมีแรงซื้อเข้ามาจำนวนมาก ทำให้ราคาหุ้นดีดตัวกลับขึ้นไป เป็นจุดที่น่าสนใจในการพิจารณา "เข้าซื้อ"
-
แนวต้าน (Resistance / Supply Zone): คือโซนราคาที่เคยมีแรงขายออกมาอย่างหนัก ทำให้ราคาไม่สามารถผ่านไปได้ เป็นจุดที่น่าสนใจในการพิจารณา "ขายทำกำไร"
3. อินดิเคเตอร์ (Indicators) ที่จำเป็น กลยุทธ์สำหรับผู้เริ่มต้นไม่จำเป็นต้องซับซ้อน เพียงใช้อินดิเคเตอร์พื้นฐาน 3 ตัวนี้ก็เพียงพอ
-
8 EMA (Exponential Moving Average): เส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ที่ให้ความสำคัญกับราคาล่าสุด ใช้เป็นตัวชี้วัดโมเมนตัมระยะสั้น หากราคายืนเหนือเส้น 8 EMA ได้อย่างต่อเนื่อง แสดงว่าหุ้นมีแนวโน้มขาขึ้นที่แข็งแกร่ง
-
200 SMA (Simple Moving Average): เส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่แบบง่ายในระยะยาว ใช้กำหนดทิศทางหลักของหุ้น หุ้นที่น่าสนใจสำหรับ Swing Trading ควรมีราคาเคลื่อนไหวอยู่ "เหนือ" เส้น 200 SMA ซึ่งบ่งชี้ว่าเป็นแนวโน้มขาขึ้นในระยะยาว
-
Volume (ปริมาณการซื้อขาย): ใช้ยืนยันความแข็งแกร่งของแนวโน้ม การทะลุแนวต้านที่มาพร้อมกับวอลุ่มที่สูงกว่าปกติ จะเพิ่มความน่าเชื่อถือของการทะลุนั้นๆ
รู้จักรูปแบบกราฟ (Chart Patterns) ทำกำไร
-
รูปแบบการทะลุ (Breakout Pattern): เกิดขึ้นเมื่อราคาทะลุผ่านแนวต้านสำคัญขึ้นไปได้ โดยเฉพาะแนวต้านที่เคยทดสอบมาแล้ว 2-3 ครั้ง การทะลุแนวต้านที่แข็งแกร่งมักนำไปสู่การปรับตัวขึ้นของราคาอย่างต่อเนื่อง
-
รูปแบบการหลุด (Breakdown Pattern): ตรงกันข้ามกับ Breakout คือการที่ราคาหลุดแนวรับสำคัญลงมา เป็นสัญญาณขายหรือโอกาสในการทำกำไรฝั่งขาย (Short)
-
รูปแบบการพักตัว/สะสมกำลัง (Consolidation Pattern): คือช่วงที่หุ้นเคลื่อนไหวในกรอบราคาแคบๆ การพักตัวนี้มักจะนำไปสู่การระเบิดของราคา ไม่ว่าจะทะลุขึ้น (Breakout) หรือหลุดลง (Breakdown) อย่างรุนแรง
กลยุทธ์ Swing Trading 3 ขั้นตอน (Technical Breakout Strategy)
นี่คือกลยุทธ์ที่เรียบง่ายและมีประสิทธิภาพสำหรับผู้เริ่มต้น
ขั้นตอนที่ 1: ค้นหาหุ้นที่น่าสนใจ (Stock Scanning) ใช้เครื่องมือสแกนหุ้น (Stock Scanner) ในช่วงบ่าย (หลัง 12:00 น. เวลาตะวันออก) โดยตั้งเงื่อนไขดังนี้:
-
มูลค่าตลาด (Market Cap): มากกว่า 1 พันล้านดอลลาร์ (หุ้นขนาดใหญ่)
-
ราคาหุ้น: มากกว่า 1 ดอลลาร์
-
ปริมาณการซื้อขายเฉลี่ย: มากกว่า 500,000 หุ้นต่อวัน
-
การเปลี่ยนแปลงราคาในวันนั้น: ปรับตัวขึ้นอย่างน้อย 3% เพื่อหาหุ้นที่มีโมเมนตัม
ขั้นตอนที่ 2: วิเคราะห์ทางเทคนิคและหารูปแบบ นำหุ้นที่ได้จากการสแกนมาวิเคราะห์ต่อบนกราฟรายวัน:
-
ตรวจสอบเส้น 200 SMA: ราคาหุ้นต้องอยู่ "เหนือ" เส้น 200 SMA
-
ตรวจสอบเส้น 8 EMA: หุ้นควรมีแนวโน้มเคลื่อนไหวเกาะไปตามเส้น 8 EMA หรือหากมีการหลุดลงมา ก็ควรมีประวัติที่สามารถกลับขึ้นไปยืนเหนือเส้น 8 EMA ได้อย่างรวดเร็ว
-
มองหา Pattern: มองหารูปแบบ Breakout หรือ Consolidation ที่กำลังจะเกิดขึ้น
หากหุ้นยังไม่เข้าเงื่อนไขในวันนั้น ให้เก็บไว้ใน รายการเฝ้าดู (Watchlist) เพื่อรอจังหวะที่เหมาะสมในวันถัดไป
ขั้นตอนที่ 3: การเข้า-ออก (Execution)
-
จุดเข้า (Entry): จุดเข้าที่ดีที่สุดคือ "ใกล้เส้น 8 EMA ให้มากที่สุด" หลังจากที่หุ้นยืนยันการทะลุแนวต้านแล้ว ไม่จำเป็นต้องเข้าที่จุดต่ำสุดเป๊ะๆ แต่ให้แน่ใจว่าได้เข้าในจังหวะที่แนวโน้มขาขึ้นยังคงแข็งแกร่ง
-
จุดออก (Exit) / ทำกำไร:
-
ขายบางส่วน: เมื่อราคาพุ่งขึ้นอย่างรุนแรง อาจพิจารณาขายทำกำไรออกไปก่อน 1/4 หรือ 1/3 ของสถานะ
-
ปล่อยกำไรวิ่งต่อ (Let Profit Run): สำหรับส่วนที่เหลือ ให้ถือต่อไปตราบใดที่ราคายังคงยืนอยู่เหนือเส้น 8 EMA
-
-
จุดตัดขาดทุน (Stop Loss): จุดตัดขาดทุนที่ชัดเจนที่สุดคือ "เมื่อราคาปิดต่ำกว่าเส้น 8 EMA" หากเกิดสัญญาณนี้ ให้ขายออกทันทีเพื่อจำกัดการขาดทุน
เครื่องมือและโบรกเกอร์ที่แนะนำ
-
โบรกเกอร์: แนะนำให้แยกบัญชี Swing Trading ออกจากบัญชีอื่น โบรกเกอร์ที่น่าสนใจได้แก่ Centerpoint Securities, Interactive Brokers หรือ Weeble ซึ่งมีแอปพลิเคชันที่ใช้งานง่าย
-
โปรแกรมดูกราฟ: TradingView เป็นเครื่องมือที่ได้รับความนิยมสูงและมีฟังก์ชันครบครันสำหรับการวิเคราะห์ทางเทคนิค
โดยสรุป การเทรดแบบ Swing Trading เป็นทางเลือกที่ยอดเยี่ยมสำหรับผู้ที่ต้องการสร้างรายได้จากตลาดหุ้นโดยใช้เวลาและความเครียดน้อยลง ด้วยการใช้กลยุทธ์ที่เรียบง่ายแต่มีประสิทธิภาพดังที่กล่าวมาข้างต้น ซึ่งเน้นการวิเคราะห์แนวโน้มหลักผ่านเส้นค่าเฉลี่ยและมองหารูปแบบการทะลุที่แข็งแกร่ง คุณก็สามารถเริ่มต้นเส้นทางนักเทรดแบบ Swing ได้อย่างมั่นใจ
เหมากับแม่ลูกอ่อนแบบเรามากๆ
ทิ้งคำตอบไว้
- 44 ฟอรัม
- 2,922 หัวข้อ
- 8,348 กระทู้
- 24 ออนไลน์
- 3,876 สมาชิก