การใช้การวิเคราะห์เชิงปริมาณในการตัดสินใจเทรด Forex อย่างชาญฉลาด
เคยเป็นไหม เวลาจะเข้าเทรดแต่ละครั้ง ก็รู้สึกว่า ควรเข้าไม้ตรงนี้ดีไหมนะ หรือว่ารออีกหน่อยดีกว่า แล้วบางทีพอเข้าไปปุ๊บ ราคาก็สวนทางทันที
ปัญหานี้เกิดขึ้นเพราะเราอาจใช้ "ความรู้สึก" มากเกินไปในการตัดสินใจ ซึ่งเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้เทรดเดอร์จำนวนมากพลาดในตลาด Forex
แต่ถ้ามีวิธีที่ช่วยให้เราตัดสินใจแบบเป็นระบบ ใช้ "ตัวเลข" แทน "อารมณ์" ล่ะ นี่คือสิ่งที่เรียกว่า "การวิเคราะห์เชิงปริมาณ" (Quantitative Analysis)
1. การวิเคราะห์เชิงปริมาณคืออะไร
นิยามแบบง่าย ๆ
การวิเคราะห์เชิงปริมาณ (Quantitative Analysis) คือการใช้ ตัวเลข สถิติ และคณิตศาสตร์ ในการตัดสินใจเทรด แทนที่จะใช้ความรู้สึกหรืออารมณ์
พูดง่าย ๆ ก็คือ "ให้ตัวเลขช่วยคิด" ว่าโอกาสการเทรดนั้นดีแค่ไหน
ทำไมต้องใช้การวิเคราะห์เชิงปริมาณ
✅ ลดอารมณ์ในการเทรด ทำให้การตัดสินใจเป็นระบบ
✅ ช่วยให้สามารถทดสอบและวัดผลกลยุทธ์ได้
✅ ปรับปรุงความแม่นยำในการเข้าและออกออเดอร์
คำแนะนำสำหรับเทรดเดอร์
- ลองเริ่มต้นจากการเก็บสถิติของตัวเอง เช่น อัตราการชนะของกลยุทธ์แต่ละแบบ
- ใช้ตัวเลขและเครื่องมือช่วยวิเคราะห์ เพื่อให้การเทรดเป็นเหตุเป็นผลมากขึ้น
2. เครื่องมือวิเคราะห์เชิงปริมาณที่ใช้ในการเทรด Forex
1) อัตราส่วนความเสี่ยงต่อผลตอบแทน (Risk-to-Reward Ratio - RR)
Risk-to-Reward Ratio คือ อัตราส่วนระหว่างจำนวนเงินที่เสี่ยงกับจำนวนเงินที่คาดว่าจะได้
ตัวอย่างเช่น
- ถ้าคุณเสี่ยง $100 แต่ตั้ง TP ไว้ $300 นั่นคือ RR = 1:3
- ถ้า RR น้อยกว่า 1:1 หมายความว่า คุณเสี่ยงมากกว่ากำไรที่คาดหวัง ซึ่งอาจไม่คุ้ม
คำแนะนำ:
- ตั้งเป้าให้ RR อย่างน้อย 1:2 หรือ 1:3 เพื่อให้แม้ชนะน้อยกว่าครึ่ง ก็ยังมีกำไร
- ใช้ข้อมูลย้อนหลังดูว่ากลยุทธ์ของคุณมีค่า RR โดยเฉลี่ยเท่าไหร่
2) อัตราการชนะ (Win Rate) และ Expectancy
Win Rate คือ เปอร์เซ็นต์ของการเทรดที่ชนะ ถ้าคุณเทรด 100 ครั้ง และชนะ 60 ครั้ง แปลว่า Win Rate = 60%
แต่มี Win Rate สูงอย่างเดียวไม่พอ ต้องดูค่า Expectancy ด้วย
สูตร Expectancy คือ
Expectancy=(%ชนะ×กำไรเฉลี่ย)−(%แพ้×ขาดทุนเฉลี่ย)\text{Expectancy} = (\% \text{ชนะ} \times \text{กำไรเฉลี่ย}) - (\% \text{แพ้} \times \text{ขาดทุนเฉลี่ย})
คำแนะนำ:
- ถ้ากลยุทธ์ของคุณมี Win Rate ต่ำ เช่น 40% แต่ใช้ RR 1:3 ก็ยังมีกำไรในระยะยาว
- หมั่นจดบันทึกผลลัพธ์ของแต่ละกลยุทธ์เพื่อคำนวณ Expectancy
3) Maximum Drawdown (MDD) – ขาดทุนสูงสุดที่พอร์ตเคยเจอ
MDD คือ เปอร์เซ็นต์ของการขาดทุนสูงสุดที่เกิดขึ้นในพอร์ต ตัวอย่างเช่น
- ถ้าคุณเริ่มต้นพอร์ตด้วย $10,000 และพอร์ตลดลงเหลือ $8,000 แสดงว่า MDD = 20%
MDD สำคัญเพราะมันบอกว่าพอร์ตของคุณเคยเจอภาวะขาดทุนหนักแค่ไหน ถ้า MDD สูงเกินไป (เช่นเกิน 50%) นั่นอาจหมายความว่าคุณเสี่ยงเกินไป
คำแนะนำ:
- พยายามให้ MDD อยู่ต่ำกว่า 20-30% ของพอร์ต เพื่อให้ฟื้นตัวได้เร็ว
- ถ้า MDD สูง ควรปรับลดขนาดล็อต หรือเพิ่ม Stop Loss ให้เหมาะสม
4) ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐานของผลตอบแทน (Standard Deviation of Returns)
ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐานบอกว่า กำไรหรือขาดทุนของคุณผันผวนแค่ไหน
- ถ้าผลตอบแทนของคุณมีค่าผันผวนสูง แปลว่าการเทรดของคุณมีความไม่แน่นอนสูง
- ถ้าผลตอบแทนค่อนข้างคงที่ แปลว่ากลยุทธ์ของคุณมีความเสถียร
คำแนะนำ:
- วิเคราะห์ว่าแต่ละเดือนพอร์ตของคุณขึ้นลงเท่าไหร่ เพื่อดูว่าคุณรับความเสี่ยงได้แค่ไหน
- ถ้ากำไรขึ้นลงแรงมาก ลองปรับ MM ให้เหมาะสม
3. วิธีนำการวิเคราะห์เชิงปริมาณไปใช้ในการเทรดจริง
1) เก็บสถิติการเทรดของตัวเอง
เริ่มจากจดบันทึกการเทรดของตัวเอง เช่น
- อัตราการชนะ
- Risk-to-Reward Ratio
- Maximum Drawdown
- ผลตอบแทนเฉลี่ยต่อเดือน
เครื่องมือช่วยเก็บสถิติ:
- Excel หรือ Google Sheets
- Myfxbook หรือ FX Blue
2) ปรับกลยุทธ์ตามข้อมูลที่ได้
หลังจากเก็บสถิติแล้ว คุณจะเห็นว่า
- กลยุทธ์ไหนให้กำไรสูงสุด
- ความเสี่ยงที่คุณรับได้อยู่ในระดับไหน
- จุดอ่อนของกลยุทธ์คืออะไร และควรแก้ไขตรงไหน
3) ใช้ข้อมูลในการตัดสินใจ ไม่ใช่อารมณ์
เมื่อคุณมีข้อมูลเชิงปริมาณสนับสนุน การเทรดของคุณจะเป็นระบบมากขึ้น
- ถ้า Win Rate ของคุณต่ำ แต่ RR สูง → ให้เน้นเทรดตามระบบต่อไป
- ถ้า Drawdown สูงเกินไป → ปรับลดความเสี่ยงให้เหมาะสม
สรุป การใช้การวิเคราะห์เชิงปริมาณเพื่อเทรดอย่างชาญฉลาด
ใช้ตัวเลขและสถิติในการวิเคราะห์ ไม่ใช่แค่ "ความรู้สึก"
วัดผลกลยุทธ์ผ่าน Win Rate, RR, Drawdown, และ Expectancy
เก็บสถิติการเทรด และใช้ข้อมูลมาปรับปรุงกลยุทธ์
ลดความเสี่ยงโดยใช้ MM ที่เหมาะสมกับพอร์ต
ตลาด Forex ไม่ใช่เกมของดวง แต่เป็นเรื่องของสถิติ ความน่าจะเป็น และการบริหารความเสี่ยง
ทิ้งคำตอบไว้
- 45 ฟอรัม
- 3,249 หัวข้อ
- 9,917 กระทู้
- 21 ออนไลน์
- 4,235 สมาชิก



