การวิเคราะห์ทางเทคนิค vs การวิเคราะห์พื้นฐาน แล้วมือใหม่ควรใช้แบบไหน?

          การเทรดในตลาด Forex หรือการลงทุนในสินทรัพย์ใดๆ ก็ตาม การวิเคราะห์เป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยให้นักเทรดตัดสินใจได้อย่างชาญฉลาด โดยทั่วไปการวิเคราะห์ในการเทรดแบ่งเป็นสองประเภทหลักคือ การวิเคราะห์ทางเทคนิค (Technical Analysis) และ การวิเคราะห์พื้นฐาน (Fundamental Analysis) ซึ่งทั้งสองมีแนวทางและข้อดีที่แตกต่างกัน การเลือกวิธีการวิเคราะห์ที่เหมาะสมสำหรับมือใหม่ขึ้นอยู่กับสไตล์การเทรดและเป้าหมายทางการเงินของแต่ละคน ดังนั้น เราจะมาเปรียบเทียบข้อดี ข้อเสีย และความเหมาะสมของการใช้งานของแต่ละวิธีการ

1. การวิเคราะห์ทางเทคนิค (Technical Analysis)

หลักการ การวิเคราะห์ทางเทคนิคเป็นการใช้ข้อมูลในอดีต เช่น กราฟราคา ปริมาณการซื้อขาย และอินดิเคเตอร์ต่างๆ เพื่อทำนายการเคลื่อนไหวของราคาที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคต โดยมีความเชื่อว่าราคาในอดีตมีแนวโน้มที่จะซ้ำรอยหรือตอบสนองต่อรูปแบบเดิมๆ

ข้อดี:
- เหมาะสำหรับการเทรดในระยะสั้น การวิเคราะห์ทางเทคนิคช่วยให้นักเทรดจับสัญญาณการเปลี่ยนแปลงของราคาในระยะสั้นได้ง่ายขึ้น เช่น การเข้าและออกจากการเทรดในช่วงเวลาที่สั้น เช่น นาที ชั่วโมง หรือวัน
- เครื่องมือมากมายให้เลือกใช้ มีอินดิเคเตอร์ทางเทคนิคและเครื่องมือวิเคราะห์เชิงลึกให้เลือกใช้ เช่น Moving Averages, RSI, MACD, Fibonacci, และแนวรับ-แนวต้าน เป็นต้น
- เข้าใจได้ง่ายกว่า การอ่านกราฟและการใช้อินดิเคเตอร์ในขั้นพื้นฐานอาจใช้เวลาเรียนรู้ไม่มาก เหมาะสำหรับมือใหม่ที่ต้องการเรียนรู้และเริ่มต้นใช้งานเร็ว

ข้อเสีย:
- ขาดการวิเคราะห์พื้นฐานที่สำคัญ การวิเคราะห์ทางเทคนิคอาจไม่ได้คำนึงถึงปัจจัยทางเศรษฐกิจหรือปัจจัยพื้นฐาน เช่น นโยบายการเงิน ข่าวเศรษฐกิจ ซึ่งสามารถส่งผลต่อราคาของสกุลเงินได้อย่างรุนแรง
- ไม่แม่นยำในระยะยาว การวิเคราะห์กราฟและอินดิเคเตอร์อาจทำงานได้ดีในระยะสั้น แต่ในระยะยาวอาจไม่สามารถทำนายได้แม่นยำเมื่อมีปัจจัยพื้นฐานที่มีผลกระทบ

2. การวิเคราะห์พื้นฐาน (Fundamental Analysis)

หลักการ การวิเคราะห์พื้นฐานเน้นที่การศึกษาปัจจัยเศรษฐกิจ การเมือง และปัจจัยภายนอกอื่นๆ ที่ส่งผลกระทบต่อมูลค่าของสกุลเงิน เช่น อัตราดอกเบี้ย ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) อัตราเงินเฟ้อ และข่าวเศรษฐกิจที่สำคัญ

ข้อดี:
- เหมาะสำหรับการลงทุนระยะยาว การวิเคราะห์พื้นฐานช่วยให้นักเทรดเข้าใจทิศทางระยะยาวของคู่สกุลเงินหรือสินทรัพย์ที่ลงทุน ทำให้สามารถตัดสินใจลงทุนในระยะยาวได้ดีขึ้น
- ความเข้าใจเชิงลึกเกี่ยวกับเศรษฐกิจ การวิเคราะห์พื้นฐานช่วยให้นักเทรดเข้าใจสภาวะเศรษฐกิจ การเมือง และเหตุการณ์ที่อาจมีผลกระทบต่อราคาสกุลเงิน ทำให้การตัดสินใจมีข้อมูลที่ครบถ้วนมากขึ้น
- มุมมองระยะยาวที่มั่นคงกว่า การวิเคราะห์พื้นฐานให้ภาพที่กว้างขวางและมองเห็นการเปลี่ยนแปลงของมูลค่าในระยะยาว ซึ่งอาจเป็นประโยชน์สำหรับนักลงทุนที่ไม่ต้องการความเสี่ยงสูงจากการเทรดระยะสั้น

ข้อเสีย:
- ไม่เหมาะกับการเทรดในระยะสั้น การวิเคราะห์พื้นฐานอาจไม่ช่วยในการหาจุดเข้า-ออกของการเทรดในระยะสั้นได้ดีเท่ากับการวิเคราะห์ทางเทคนิค
- ต้องใช้เวลาในการเรียนรู้: การเข้าใจปัจจัยทางเศรษฐกิจหรือข่าวสารต่างๆ ต้องใช้เวลาเรียนรู้และติดตามมากกว่าการใช้กราฟและอินดิเคเตอร์ทางเทคนิค
- ต้องติดตามข่าวสารอย่างต่อเนื่อง นักเทรดที่ใช้การวิเคราะห์พื้นฐานต้องอัปเดตข่าวสารอย่างต่อเนื่อง และต้องสามารถวิเคราะห์ผลกระทบที่ข่าวมีต่อราคาของสกุลเงินได้

3. มือใหม่ควรเลือกใช้อะไร?

- หากคุณเป็นนักเทรดระยะสั้น (Day Trader หรือ Scalper)  การวิเคราะห์ทางเทคนิคอาจเหมาะสมกว่า เพราะคุณสามารถใช้เครื่องมือในการหาจุดเข้า-ออกได้อย่างแม่นยำ การเรียนรู้การอ่านกราฟและใช้เครื่องมืออย่าง RSI หรือ MACD จะช่วยให้คุณสามารถทำกำไรจากการเคลื่อนไหวของราคาในช่วงเวลาสั้นๆ ได้ดี

- หากคุณเป็นนักลงทุนระยะยาว (Position Trader หรือ Swing Trader) การวิเคราะห์พื้นฐานจะช่วยให้คุณเห็นภาพรวมของเศรษฐกิจและสถานการณ์ที่อาจส่งผลต่อมูลค่าสกุลเงินในระยะยาว การศึกษาปัจจัยทางเศรษฐกิจและนโยบายการเงินจะช่วยให้คุณเข้าใจแนวโน้มการเคลื่อนไหวของราคาในระยะยาวมากขึ้น

4. ทางออกที่ดีที่สุด คือ การผสมผสานทั้งสองแบบ

ในความเป็นจริง นักเทรดและนักลงทุนที่ประสบความสำเร็จมักใช้ทั้งการวิเคราะห์ทางเทคนิคและการวิเคราะห์พื้นฐานร่วมกัน ตัวอย่างเช่น นักเทรดอาจใช้การวิเคราะห์พื้นฐานเพื่อทำความเข้าใจแนวโน้มระยะยาวของสกุลเงิน และใช้การวิเคราะห์ทางเทคนิคเพื่อหาจุดเข้าและออกในระยะสั้น การผสมผสานการวิเคราะห์ทั้งสองแบบจะช่วยให้คุณมีความยืดหยุ่นและสามารถตัดสินใจได้อย่างแม่นยำยิ่งขึ้น

สำหรับมือใหม่ที่เริ่มต้นเข้าสู่การเทรด Forex การวิเคราะห์ทางเทคนิคอาจจะเป็นจุดเริ่มต้นที่ดี เพราะเข้าใจง่ายและให้ผลลัพธ์ในระยะสั้นได้ทันที แต่ในระยะยาวควรเรียนรู้การวิเคราะห์พื้นฐานเพิ่มเติมเพื่อให้เข้าใจปัจจัยเศรษฐกิจและการเมืองที่มีผลต่อการเคลื่อนไหวของราคา และการผสมผสานการวิเคราะห์ทั้งสองแบบจะช่วยให้การตัดสินใจในการเทรดมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น