coverอันดับนักแข่งเทรดมือ
การแจ้งเตือน
ลบทั้งหมด

การประยุกต์ใช้กลยุทธ์ Market Profile ในการเทรดสัญญาซื้อขายส่วนต่าง (CFD) อย่างละเอียด

2 กระทู้
2 ผู้ใช้
2 Reactions
86 เข้าชม
James Albert
(@james-albert)
สมาชิก
โพสครบ 20 กะทู้
โพสกะทู้ครบ 300
โพสกะทู้ครบ 1000
ผู้มีส่วนร่วมสูงสุด
Rank E
เข้าร่วม: 1 ปี ที่ผ่านมา
กระทู้: 504
หัวข้อเริ่มต้น  

1. บทนำ: ก้าวข้ามขีดจำกัดของอินดิเคเตอร์แบบดั้งเดิม

 

เทรดเดอร์ในตลาด CFD ส่วนใหญ่มักเริ่มต้นเส้นทางด้วยการใช้อินดิเคเตอร์ทางเทคนิคยอดนิยม เช่น Moving Average (MA), Relative Strength Index (RSI), หรือ MACD ซึ่งเครื่องมือเหล่านี้ทำงานโดยอาศัยข้อมูลในอดีต (ราคาปิด, ราคาสูงสุด, ราคาต่ำสุด) เพื่อคำนวณและสร้างสัญญาณซื้อขาย แม้ว่าจะมีประโยชน์ในการระบุแนวโน้มหรือสภาวะซื้อมากเกินไป/ขายมากเกินไป แต่ข้อจำกัดที่สำคัญคือการเป็น "อินดิเคเตอร์ตามหลัง" (Lagging Indicator) ซึ่งมักจะให้สัญญาณช้ากว่าการเคลื่อนไหวของราคาจริง ทำให้เทรดเดอร์อาจพลาดโอกาสที่ดีที่สุดหรือเข้าเทรดในช่วงที่โมเมนตัมเริ่มอ่อนแรงแล้วเพื่อก้าวข้ามข้อจำกัดนี้ เทรดเดอร์มืออาชีพจำนวนมากจึงหันมาใช้เครื่องมือที่ให้ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับ "โครงสร้าง" และ "พลวัต" ของตลาดแบบเรียลไทม์ Market Profile คือหนึ่งในเครื่องมือชั้นแนวหน้าที่ตอบโจทย์นี้ โดยไม่ได้เป็นเพียงอินดิเคเตอร์ที่ให้สัญญาณซื้อ/ขาย แต่เป็น "กรอบความคิด" (Framework) ในการวิเคราะห์ตลาดที่ช่วยให้เทรดเดอร์เข้าใจว่า "ใคร" (ผู้ซื้อหรือผู้ขาย) กำลังควบคุมตลาด และ "ที่ไหน" (ระดับราคาใด) ที่ตลาดมองว่าเป็นมูลค่าที่ยุติธรรม บทความนี้จะเจาะลึกทุกแง่มุมของ Market Profile เพื่อให้เทรดเดอร์ CFD สามารถนำไปใช้เป็นกลยุทธ์หลักหรือเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับระบบเทรดเดิมของตนเองได้

 

2. Market Profile คืออะไร: ปรัชญาเบื้องหลังการประมูลของตลาด

 

Market Profile ไม่ใช่อินดิเคเตอร์ แต่เป็นเครื่องมือแสดงภาพข้อมูลที่ถูกพัฒนาขึ้นโดย ปีเตอร์ สไตร์เดิลเมเยอร์ (Peter Steidlmayer) เทรดเดอร์แห่ง Chicago Board of Trade (CBOT) ในช่วงทศวรรษ 1980s แนวคิดหลักของเขาคือการมองตลาดการเงินไม่ใช่แค่กราฟราคาที่ขึ้นๆ ลงๆ แต่เป็น กระบวนการประมูลสองทาง (Two-way Auction Process) ที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง

ปรัชญาสำคัญคือ:

  • ราคา (Price) ทำหน้าที่ "โฆษณา" โอกาสในการซื้อขาย

  • เวลา (Time) ทำหน้าที่ "ควบคุม" โอกาสเหล่านั้น

  • ปริมาณการซื้อขาย (Volume) ทำหน้าที่ "วัดผล" ความสำเร็จของการประมูล ณ ระดับราคาต่างๆ

Market Profile จะนำข้อมูลราคาและเวลามาจัดเรียงในรูปแบบของกราฟการกระจายตัว (Distribution graph) ในแนวตั้ง ทำให้เราเห็นได้อย่างชัดเจนว่า ณ ระดับราคาใดที่ตลาดใช้เวลาในการซื้อขายนานที่สุด และระดับราคาใดที่ถูกปฏิเสธอย่างรวดเร็ว ข้อมูลนี้สะท้อนถึง "มูลค่า" ที่ผู้เข้าร่วมตลาดส่วนใหญ่ยอมรับ

 

3. แนวคิดและองค์ประกอบหลักของ Market Profile

 

การจะใช้ Market Profile ให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด จำเป็นต้องเข้าใจองค์ประกอบพื้นฐานของมันอย่างถ่องแท้

 

3.1 Time Price Opportunity (TPO)

 

TPO คือหน่วยที่เล็กที่สุดของ Market Profile โดยทั่วไปจะแสดงเป็นตัวอักษร (A, B, C, ...) หรือบล็อกสี แต่ละ TPO แทนช่วงเวลาหนึ่งที่ราคาได้มีการซื้อขาย ณ ระดับนั้นๆ เช่น ในกราฟรายวัน อาจแบ่งวันออกเป็นช่วงละ 30 นาที:

  • ช่วง 30 นาทีแรกของวัน จะถูกแทนด้วยตัวอักษร 'A'

  • ช่วง 30 นาทีถัดมา จะถูกแทนด้วยตัวอักษร 'B'

  • และต่อไปเรื่อยๆ

การที่ระดับราคาใดมี TPO เรียงต่อกันเป็นแนวนอนยาวๆ หมายความว่า ตลาดใช้เวลาในการซื้อขายที่ราคานั้นเป็นเวลานาน สะท้อนถึงการยอมรับและความสมดุล

 

3.2 Point of Control (POC)

 

POC คือระดับราคาที่มีจำนวน TPO เรียงต่อกันยาวที่สุดในหนึ่งโปรไฟล์ (หรือในบางแพลตฟอร์มอาจคำนวณจาก Volume สูงสุด เรียกว่า Volume POC) มันคือ "จุดควบคุม" หรือระดับราคาที่ "ยุติธรรมที่สุด" ในช่วงเวลานั้นๆ เพราะเป็นราคาที่เกิดการซื้อขายและยอมรับกันมากที่สุด POC ทำหน้าที่เปรียบเสมือนแม่เหล็กที่ดึงดูดราคา และเป็นแนวรับ-แนวต้านที่แข็งแกร่งมาก

 

3.3 Value Area (VA), Value Area High (VAH), Value Area Low (VAL)

 

  • Value Area (VA): คือช่วงของระดับราคาที่เกิดการซื้อขายหนาแน่นที่สุด โดยปกติจะคิดเป็น 70% ของ TPO ทั้งหมดในโปรไฟล์นั้นๆ (ตามทฤษฎีการกระจายตัวแบบปกติ) VA คือ "พื้นที่แห่งมูลค่า" ที่ผู้เล่นในตลาดส่วนใหญ่เห็นพ้องต้องกันว่าเป็นราคาที่เหมาะสมสำหรับการทำธุรกิจ (ซื้อ/ขาย)

  • Value Area High (VAH): คือขอบบนของ Value Area

  • Value Area Low (VAL): คือขอบล่างของ Value Area

VAH และ VAL เป็นแนวรับ-แนวต้านที่สำคัญอย่างยิ่ง เพราะเป็นจุดแบ่งระหว่าง "พื้นที่ที่ตลาดยอมรับ" (Inside Value) และ "พื้นที่ที่ตลาดอาจปฏิเสธ" (Outside Value)

 

3.4 Initial Balance (IB)

 

IB คือช่วงของราคาสูงสุดและต่ำสุดที่เกิดขึ้นในช่วงเวลาแรกของการเปิดตลาด โดยทั่วไปมักใช้ 1 ชั่วโมงแรก IB เป็นตัวกำหนด "บรรยากาศ" เริ่มต้นของวันนั้นๆ เทรดเดอร์มืออาชีพจะคอยจับตาดูว่าราคาจะเคลื่อนไหวอย่างไรเมื่อเทียบกับกรอบ IB นี้

  • ถ้าราคาอยู่แต่ในกรอบ IB แสดงว่าตลาดยังไม่แน่ใจในทิศทาง

  • ถ้าราคาเบรคกรอบ IB ขึ้นไป/ลงมาอย่างแข็งแกร่ง อาจเป็นสัญญาณของวันที่มีแนวโน้ม (Trend Day)

 

3.5 องค์ประกอบอื่นๆ ที่น่าสนใจ

 

  • Single Prints (หรือ TPO Gaps): คือบริเวณที่โปรไฟล์มีความ "บาง" มาก มี TPO เพียงตัวเดียวในแนวนอน แสดงถึงการเคลื่อนที่ของราคาที่รวดเร็วมาก บ่งบอกถึงความไม่สมดุล (Imbalance) อย่างรุนแรง พื้นที่เหล่านี้มักจะถูกกลับมา "ทดสอบ" หรือ "เติมเต็ม" ในอนาคต

  • Poor High / Poor Low: คือยอดบนสุดหรือล่างสุดของโปรไฟล์ที่มีลักษณะ "ทู่" หรือมี TPOs หลายตัวเรียงกันเป็นแนวราบ แสดงว่ากระบวนการประมูลยังไม่จบสิ้น และมีโอกาสสูงที่ราคาจะกลับมาทดสอบระดับนั้นอีกครั้ง เพื่อหาจุดที่ผู้ขาย/ผู้ซื้อจะหมดแรงอย่างแท้จริง

 

4. รูปแบบของ Profile (Profile Shapes) และการตีความพฤติกรรมตลาด

 

รูปทรงของ Profile ในแต่ละวันสามารถบอกเล่าเรื่องราวของตลาดได้เป็นอย่างดี

  • 4.1 Normal Day (D-Shape): โปรไฟล์มีลักษณะคล้ายระฆังคว่ำ (Bell Curve) หรือตัว 'D' โดยมีส่วนที่กว้างที่สุดอยู่ตรงกลาง (POC) และค่อยๆ แคบลงที่ด้านบนและล่าง บ่งบอกถึงตลาดที่ สมดุล (Balanced) ผู้ซื้อและผู้ขายมีความเห็นตรงกันเรื่องมูลค่า เหมาะกับการเทรดในกรอบ (Range Trading) โดยขายใกล้ VAH และซื้อใกล้ VAL

  • 4.2 Trend Day: โปรไฟล์มีลักษณะยาวและแคบ ราคาเคลื่อนที่ไปในทิศทางเดียวอย่างชัดเจนตั้งแต่เปิดตลาดและปิดใกล้จุดสูงสุด/ต่ำสุดของวัน Value Area จะกว้างและยาวตามทิศทางของเทรนด์ บ่งบอกถึงตลาดที่ ไม่สมดุล (Imbalanced) และมีผู้เล่นรายใหญ่ (Long-term traders) เข้ามาควบคุมตลาด การเทรดสวนเทรนด์ในวันแบบนี้อันตรายอย่างยิ่ง

  • 4.3 Double-Distribution Day: โปรไฟล์มีลักษณะเหมือนมี "ระฆังคว่ำ" สองอันซ้อนกัน โดยมีบริเวณ Single Prints คั่นกลาง แสดงว่าตลาดมีความสมดุลในช่วงแรก จากนั้นมีข่าวหรือปัจจัยบางอย่างเข้ามากระทบ ทำให้ราคาเคลื่อนที่อย่างรวดเร็วไปสร้างความสมดุลใหม่ในอีกระดับราคาหนึ่ง

  • 4.4 P-Shape และ b-Shape:

    • P-Shape: โปรไฟล์มีลักษณะคล้ายตัว 'P' มีฐานกว้างอยู่ด้านล่างและมีหางยาวขึ้นไปด้านบน มักเกิดจากการที่ผู้ขายที่ติด Short Position ต้องรีบซื้อคืน (Short Covering) ทำให้ราคาดีดตัวขึ้นแรงในช่วงท้าย

    • b-Shape: โปรไฟล์มีลักษณะคล้ายตัว 'b' มีฐานกว้างอยู่ด้านบนและมีหางยาวลงมาด้านล่าง มักเกิดจากการที่ผู้ซื้อที่ถือ Long Position ต้องรีบขายทิ้ง (Long Liquidation) ทำให้ราคาดิ่งลงแรงในช่วงท้าย

 

5. ข้อดีและข้อเสียของกลยุทธ์ Market Profile

 

 

5.1 ข้อดี (Advantages)

 

  1. ให้มุมมองที่ลึกซึ้ง: ช่วยให้เข้าใจ "โครงสร้าง" และ "พฤติกรรม" ของตลาด ไม่ใช่แค่การเคลื่อนไหวของราคา

  2. เป็นเครื่องมือนำ (Leading): ระดับ VAH, VAL, และ POC เป็นแนวรับ-แนวต้านที่เกิดขึ้นจากพฤติกรรมตลาดจริง ทำให้สามารถวางแผนการเทรดล่วงหน้าได้ ไม่ใช่การรอสัญญาณจากอินดิเคเตอร์ที่ตามหลังราคา

  3. ระบุแนวรับ-แนวต้านสำคัญ: ให้ระดับราคาที่น่าเชื่อถือสูงสำหรับเป็นจุดเข้า, จุดทำกำไร, และจุดตัดขาดทุน

  4. ให้บริบทของตลาด (Context): ช่วยให้เทรดเดอร์ตอบคำถามได้ว่า "ตอนนี้ตลาดกำลังทำอะไร" (สร้างสมดุล หรือ กำลังหาทิศทาง) ซึ่งเป็นข้อมูลสำคัญในการเลือกกลยุทธ์ที่เหมาะสม

  5. ปรับใช้ได้หลากหลาย: สามารถใช้ได้กับหลายผลิตภัณฑ์และหลายกรอบเวลา

 

5.2 ข้อเสีย (Disadvantages)

 

  1. ต้องใช้เวลาเรียนรู้ (Steep Learning Curve): แนวคิดค่อนข้างซับซ้อนและแตกต่างจาก Technical Analysis ทั่วไป ต้องใช้เวลาศึกษาและฝึกฝนจนเกิดความชำนาญ

  2. อาจมีการตีความที่หลากหลาย (Subjective): การอ่านและตีความรูปทรงของโปรไฟล์อาจมีความเป็นอัตวิสัย เทรดเดอร์สองคนอาจมองโปรไฟล์เดียวกันและตีความต่างกันได้

  3. ต้องการซอฟต์แวร์เฉพาะทาง: ไม่ใช่อินดิเคเตอร์มาตรฐานที่มีในทุกแพลตฟอร์มการเทรด อาจต้องหาซื้อหรือดาวน์โหลด Indicator เสริม

  4. ข้อมูลอาจดูซับซ้อน (Information Overload): สำหรับมือใหม่ หน้าจอที่เต็มไปด้วยตัวอักษรและเส้นต่างๆ อาจทำให้สับสนได้ในตอนแรก

 

6. การประยุกต์ใช้งานจริง: สินค้าและ Timeframe ที่เหมาะสม

 

 

6.1 สินค้าที่เหมาะสม

 

Market Profile ทำงานได้ดีที่สุดกับสินค้าที่มี สภาพคล่องสูง (High Liquidity) และมีการซื้อขายผ่านตลาดกลางที่มีโครงสร้างชัดเจน (Centralized Market) เพราะข้อมูล Volume และเวลาจะมีความน่าเชื่อถือสูง สินค้า CFD ที่เหมาะสม ได้แก่:

  • ดัชนี (Indices): S&P 500 (US500), NASDAQ (US100), DAX (GER30) - เป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด เพราะสะท้อนพฤติกรรมของผู้เล่นสถาบันจำนวนมาก

  • สินค้าโภคภัณฑ์ (Commodities): ทองคำ (XAUUSD), น้ำมัน (WTI, Brent) - มีสภาพคล่องสูงและมีช่วงเวลาการซื้อขายที่ชัดเจน

  • ตลาดปริวรรตเงินตรา (Forex): คู่เงินหลัก เช่น EURUSD, GBPUSD - แม้จะเป็นตลาดแบบ Over-the-counter (OTC) แต่ด้วยสภาพคล่องมหาศาล ทำให้หลักการของ Market Profile ยังคงใช้ได้ดี แต่ควรเลือกใช้ Indicator ที่ใช้ Volume จริง (ถ้ามี) หรือ Tick Volume แทน TPO

  • หุ้นรายตัว (Stocks): หุ้นขนาดใหญ่ที่มีปริมาณการซื้อขายสูง

ข้อควรระวัง: ควรหลีกเลี่ยงการใช้กับสินค้าที่มีสภาพคล่องต่ำหรือคู่เงินแปลกๆ (Exotic Pairs) เพราะโปรไฟล์ที่ได้จะบิดเบี้ยวและไม่น่าเชื่อถือ

 

6.2 Timeframe ที่เหมาะสม

 

Market Profile ไม่ได้ผูกติดกับ Timeframe ใด Timeframe หนึ่ง แต่มันคือ "เลนส์" ในการมองตลาด เทรดเดอร์มักจะใช้ร่วมกันหลาย Timeframe เพื่อให้ได้ภาพที่สมบูรณ์ (Multiple Timeframe Analysis)

  • โปรไฟล์หลัก (Execution Profile): มักจะใช้ Daily Profile ซึ่งสร้างจากกราฟ M30 หรือ H1 โปรไฟล์รายวันนี้ใช้สำหรับหาจุดเข้า-ออก และวางแผนการเทรดในแต่ละวัน

  • โปรไฟล์ภาพใหญ่ (Contextual Profile): ใช้ Weekly Profile และ Monthly Profile เพื่อดูบริบทของตลาดในภาพที่ใหญ่ขึ้น เช่น ตอนนี้ราคาอยู่ภายใน Value Area ของสัปดาห์ก่อนหรือไม่? หรือกำลังทดสอบ POC ของเดือนที่แล้วหรือเปล่า? การมีบริบทภาพใหญ่จะช่วยเพิ่มความแม่นยำในการเทรดรายวันได้อย่างมหาศาล

สรุป: ใช้ Daily Profile (สร้างจาก M30/H1) สำหรับการเทรดรายวัน และใช้ Weekly/Monthly Profile เพื่อดูภาพรวมและแนวรับ-แนวต้านที่สำคัญยิ่งขึ้น

 

7. การติดตั้งและตั้งค่า Indicator

 

เนื่องจาก Market Profile ไม่ใช่ Indicator พื้นฐาน การติดตั้งจึงต้องทำด้วยตนเอง

 

7.1 การค้นหาและดาวน์โหลด

 

  • TradingView: เป็นแพลตฟอร์มที่หา Indicator ประเภทนี้ได้ง่ายที่สุด มีทั้งแบบฟรีและเสียเงินในส่วนของ Community Scripts ลองค้นหาด้วยคำว่า "Market Profile", "TPO Profile", หรือ "Volume Profile"

  • MetaTrader 4/5 (MT4/MT5): มี Indicator ให้ดาวน์โหลดมากมายจาก MQL5 Community Market หรือเว็บไซต์ภายนอกเช่น forex-station.com ค้นหาด้วยคีย์เวิร์ดเดียวกัน ควรเลือ Indicator ที่มีชื่อเสียงและมีรีวิวที่ดี

  • แพลตฟอร์มเฉพาะทาง: เช่น Sierra Chart, NinjaTrader จะมีเครื่องมือ Market Profile คุณภาพสูงติดตั้งมาให้เลย แต่ก็มีค่าใช้จ่ายสูงกว่า

 

7.2 ขั้นตอนการติดตั้งบนแพลตฟอร์ม (ตัวอย่าง MT4/MT5)

 

  1. ดาวน์โหลดไฟล์ Indicator (มักจะเป็นไฟล์ .ex4, .ex5 หรือ .mq4, .mq5)

  2. เปิดโปรแกรม MT4/MT5

  3. ไปที่เมนู File -> Open Data Folder

  4. หน้าต่างใหม่จะเปิดขึ้นมา ให้เข้าไปที่โฟลเดอร์ MQL4 (สำหรับ MT4) หรือ MQL5 (สำหรับ MT5)

  5. เข้าไปที่โฟลเดอร์ Indicators

  6. นำไฟล์ Indicator ที่ดาวน์โหลดมาไปวางในโฟลเดอร์นี้

  7. กลับไปที่โปรแกรม MT4/MT5 ไปที่หน้าต่าง Navigator (กด Ctrl+N)

  8. คลิกขวาที่ Indicators แล้วเลือก Refresh

  9. ชื่อ Indicator ใหม่จะปรากฏขึ้นมา ลาก Indicator นั้นมาใส่กราฟที่ต้องการ

 

7.3 การตั้งค่าพารามิเตอร์ที่สำคัญ

 

  • Session Time: ตั้งค่าเวลาเริ่มต้นและสิ้นสุดของโปรไฟล์ให้ตรงกับช่วงเวลาการซื้อขายหลักของสินค้านั้นๆ (เช่น ตลาดหุ้นนิวยอร์ก, ตลาดลอนดอน)

  • Value Area Percent: ค่ามาตรฐานคือ 70 (%)

  • Point Of Control: เลือกให้แสดงผล (True)

  • Value Area: เลือกให้แสดงผล (True)

  • Display Type: เลือกว่าจะให้แสดงเป็น TPO (ตัวอักษร/บล็อก) หรือ Volume Profile (ฮิสโตแกรม)

  • Days to Display: จำนวนวันที่ต้องการให้แสดงโปรไฟล์ย้อนหลัง

 

8. กลยุทธ์การเทรด: สัญญาณเข้าซื้อ-ขาย และการตั้ง TP/SL

 

นี่คือหัวใจของการประยุกต์ใช้ Market Profile ซึ่งสามารถแบ่งตามสภาวะตลาดได้ 2 รูปแบบหลัก

 

8.1 กลยุทธ์ในตลาด Sideway (Balanced Market)

 

เมื่อโปรไฟล์ของวันก่อนหน้าหรือภาพรวมเป็นลักษณะสมดุล (D-Shape) กลยุทธ์หลักคือการ เทรดสวนที่ขอบของ Value Area (Reversion to the mean)

  • สัญญาณ Buy ที่ Value Area Low (VAL)

    • เงื่อนไข: ราคาทะลุลงไปใต้ VAL ของวันปัจจุบันหรือวันก่อนหน้า แต่ไม่สามารถไปต่อได้ และเริ่มแสดงสัญญาณการกลับตัว (เช่น แท่งเทียน Pin Bar, Engulfing) กลับเข้ามาใน Value Area

    • จุดเข้า (Entry): เข้า Buy เมื่อราคายืนเหนือ VAL ได้อย่างมั่นคง

    • เป้าหมายทำกำไร (Take Profit - TP):

      • TP1: Point of Control (POC) ของโปรไฟล์นั้นๆ

      • TP2: Value Area High (VAH)

    • จุดตัดขาดทุน (Stop Loss - SL): วางไว้ใต้จุดต่ำสุดของแท่งเทียนที่ปฏิเสธราคา (Rejection Candle) หรือใต้โครงสร้างราคาล่าสุดนอก VAL

  • สัญญาณ Sell ที่ Value Area High (VAH)

    • เงื่อนไข: ราคาทะลุขึ้นไปเหนือ VAH แต่ไม่สามารถไปต่อได้ และแสดงสัญญาณการกลับตัวกลับลงมาใน Value Area

    • จุดเข้า (Entry): เข้า Sell เมื่อราคาลงมายืนใต้ VAH ได้อย่างมั่นคง

    • เป้าหมายทำกำไร (Take Profit - TP):

      • TP1: Point of Control (POC)

      • TP2: Value Area Low (VAL)

    • จุดตัดขาดทุน (Stop Loss - SL): วางไว้เหนือจุดสูงสุดของแท่งเทียนที่ปฏิเสธราคา หรือเหนือโครงสร้างราคาล่าสุดนอก VAH

 

8.2 กลยุทธ์ในตลาด Trend (Imbalanced Market)

 

เมื่อตลาดมีแนวโน้มชัดเจน (Trend Day) หรือกำลังจะออกจากภาวะสมดุล กลยุทธ์จะเปลี่ยนจากการเทรดสวนเป็นการ เทรดตามโมเมนตัม (Momentum Trading)

  • การเทรดตามเทรนด์เมื่อราคายอมรับค่านอก Value Area (Value Acceptance)

    • เงื่อนไข (Buy): ราคาเบรคขึ้นเหนือ VAH อย่างแข็งแกร่ง และไม่กลับลงมาทันที แต่เริ่มมีการ "สร้างฐาน" หรือ "ยอมรับ" ราคาใหม่ที่สูงกว่า VAH เดิม (เช่น ใช้เวลา 2-3 แท่งเทียน H1 อยู่เหนือ VAH)

    • จุดเข้า (Entry): เข้า Buy เมื่อราคาย่อตัวลงมาทดสอบ VAH (ซึ่งตอนนี้เปลี่ยนเป็นแนวรับ) แล้วเด้งกลับ หรือเข้า Buy ตามโมเมนตัมเมื่อราคาสร้างฐานเสร็จ

    • TP: อาจใช้การวัดระยะ (Measured Move) จากความกว้างของ Value Area ก่อนหน้า หรือมองหาแนวต้านถัดไปจากโปรไฟล์ของสัปดาห์/เดือน

    • SL: วางไว้ใต้ VAH เล็กน้อย หรือใต้ฐานราคาใหม่ที่สร้างขึ้น

    • เงื่อนไข (Sell): ตรงกันข้ามกับขาขึ้น ราคาเบรคลงใต้ VAL อย่างแข็งแกร่ง และเริ่มยอมรับราคาใหม่ที่ต่ำกว่า

    • จุดเข้า (Entry): เข้า Sell เมื่อราคาย่อตัวขึ้นไปทดสอบ VAL (ซึ่งตอนนี้เปลี่ยนเป็นแนวต้าน) แล้วร่วงลงต่อ

    • TP: วัดระยะ หรือหาแนวรับถัดไปจากโปรไฟล์ภาพใหญ่

    • SL: วางไว้เหนือ VAL เล็กน้อย

  • การใช้ POC ที่เคลื่อนที่เป็นแนวรับ-แนวต้านไดนามิก

    • ในวันที่มีแนวโน้ม POC ของวันปัจจุบัน (Developing POC) มักจะเคลื่อนที่ตามทิศทางของเทรนด์

    • ในเทรนด์ขาขึ้น: ถ้าราคาดึงกลับ (Pullback) มาที่ Developing POC และสามารถรับอยู่ได้ ถือเป็นโอกาสในการเข้า Buy เพิ่ม

    • ในเทรนด์ขาลง: ถ้าราคาย่อตัวขึ้น (Rally) ไปที่ Developing POC และไม่สามารถผ่านได้ ถือเป็นโอกาสในการเข้า Sell เพิ่ม

 

8.3 การตั้ง Stop Loss และ Take Profit อย่างมีหลักการ

 

หัวใจของการใช้ Market Profile คือการวาง TP/SL ตาม "โครงสร้าง" ที่ตลาดสร้างขึ้น ไม่ใช่ตามจำนวน Pip ที่ตายตัว

  • Stop Loss: ควรวางในจุดที่ "ตรรกะ" ของการเทรดนั้นจะพังทลายลง เช่น

    • ถ้า Buy เพราะคาดว่า VAL จะเป็นแนวรับ SL ก็ควรอยู่ใต้จุดต่ำสุดของการปฏิเสธราคานั้น หากราคาลงไปถึง SL แปลว่าสมมติฐานเรื่องแนวรับผิดแล้ว

    • ถ้า Buy เพราะเบรค VAH ขึ้นไป SL ก็ควรอยู่ใต้ VAH หากราคากลับลงมาใน Value Area แปลว่าการเบรคอาจล้มเหลว (False Breakout)

  • Take Profit: ควรตั้งเป้าหมายที่ระดับราคาที่มีนัยสำคัญของโปรไฟล์เสมอ

    • เป้าหมายแรกที่สมเหตุสมผลที่สุดคือ POC

    • เป้าหมายถัดไปคือขอบของ Value Area อีกด้าน (VAH/VAL)

    • เป้าหมายไกลออกไปอาจเป็น Single Prints หรือ POC/VAH/VAL จากโปรไฟล์ของวัน/สัปดาห์ก่อนหน้า

 

9. Market Profile เหมาะกับโครงสร้างตลาด: Trend หรือ Sideway?

 

นี่คือคำถามสำคัญที่เทรดเดอร์ต้องตอบให้ได้ก่อนเลือกใช้กลยุทธ์

 

9.1 ทำไม Market Profile ถึงทรงพลังในตลาด Sideway

 

Market Profile โดดเด่นและทรงพลังที่สุดในสภาวะตลาดที่เคลื่อนที่ในกรอบ (Sideway หรือ Balanced Market) เหตุผลคือ:

  • นิยามที่สอดคล้องกัน: แนวคิดหลักของ Market Profile คือการหา "Value Area" หรือ "พื้นที่มูลค่าที่ยุติธรรม" ซึ่งโดยนิยามแล้ว มันคือลักษณะของตลาด Sideway ที่ราคามีแนวโน้มจะเคลื่อนไหวรอบๆ จุดสมดุล (POC) และถูกจำกัดด้วยขอบเขตบน (VAH) และขอบเขตล่าง (VAL)

  • ให้ขอบเขตการเล่นที่ชัดเจน: ในตลาด Sideway ที่ไร้ทิศทาง เทรดเดอร์มักจะหลงทางได้ง่าย Market Profile ให้แผนที่ที่ชัดเจน โดยมี VAH และ VAL เป็นแนวต้านและแนวรับที่มีความน่าเชื่อถือสูง ทำให้กลยุทธ์ "Sell High, Buy Low" ภายในกรอบมูลค่าสามารถทำได้อย่างเป็นระบบ

  • ยืนยันด้วยรูปทรง: รูปทรงแบบ Normal Day (D-Shape) เป็นการยืนยันด้วยภาพว่าตลาดกำลังสมดุล ทำให้เทรดเดอร์มีความมั่นใจในการใช้กลยุทธ์เทรดในกรอบ

 

9.2 การใช้ Market Profile เพื่อจับต้นเทรนด์และหาจุดพักตัว

 

แม้จะเด่นในตลาด Sideway แต่ Market Profile ยังคงมีประโยชน์อย่างมหาศาลในตลาดที่มีแนวโน้ม (Trending Market) แต่วิธีการใช้งานจะเปลี่ยนไป

  • สัญญาณเตือนการเกิดเทรนด์: การที่ราคา "ยอมรับ" (Acceptance) อยู่นอก Value Area ของวันก่อนหน้าเป็นเวลานาน เป็นสัญญาณเตือนแรกๆ ว่าตลาดกำลังเปลี่ยนจากภาวะสมดุล (Balance) ไปสู่ภาวะไม่สมดุล (Imbalance) ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของเทรนด์ใหม่

  • ระบุจุดเข้าตามเทรนด์: ดังที่กล่าวในข้อ 8.2 กลยุทธ์การเทรดตามเทรนด์จะใช้ VAH/VAL ที่ถูกเบรคไปแล้วเป็นจุดอ้างอิงในการเข้าเทรดเมื่อราคาย่อตัวกลับมาทดสอบ (Break and Retest)

  • หาจุดพักตัวของเทรนด์: ในระหว่างที่เทรนด์กำลังดำเนินไป ตลาดอาจจะมีการหยุดพักและสร้าง "พื้นที่สมดุลย่อย" (Mini-balance area) ซึ่งจะปรากฏเป็นโหนดที่มี Volume สูงในโปรไฟล์ของวันนั้นๆ เทรดเดอร์สามารถใช้พื้นที่นี้เป็นแนวรับ (ในเทรนด์ขาขึ้น) หรือแนวต้าน (ในเทรนด์ขาลง) สำหรับการเข้าเทรดตามเทรนด์ต่อไป

  • ยืนยันความแข็งแกร่งของเทรนด์: ในวัน Trend Day ที่แข็งแกร่ง ราคาจะเคลื่อนที่ไปข้างหน้าอย่างต่อเนื่อง และ Developing POC จะเคลื่อนที่ตามไปด้วย หากราคาไม่เคยกลับมาทดสอบ POC เดิมเลย แสดงว่าเทรนด์นั้นแข็งแกร่งมาก

สรุป: Market Profile เหมาะกับตลาด Sideway ที่สุด ในแง่ของการให้กลยุทธ์ที่ชัดเจนและเข้าใจง่าย แต่ในตลาด Trend มันจะเปลี่ยนบทบาทเป็นเครื่องมือที่ช่วย "ยืนยัน" การเกิดเทรนด์, "หาจุดเข้า" ที่ได้เปรียบ และ "ติดตาม" ความแข็งแกร่งของเทรนด์นั้นๆ

 

10. บทสรุป: Market Profile ในฐานะกรอบความคิด ไม่ใช่เครื่องมือวิเศษ

 

Market Profile ไม่ใช่ระบบเทรดอัตโนมัติหรืออินดิเคเตอร์ที่ให้สัญญาณซื้อขายที่แม่นยำ 100% แต่มันคือ กรอบความคิดในการวิเคราะห์และเล่าเรื่องราวของตลาด ที่ช่วยให้เทรดเดอร์สามารถมองเห็นสิ่งที่ผู้เล่นรายใหญ่กำลังทำ, เข้าใจว่ามูลค่าที่ตลาดยอมรับอยู่ที่ใด และประเมินได้ว่าตลาดอยู่ในสภาวะสมดุลหรือกำลังมีแนวโน้มการจะใช้กลยุทธ์นี้ให้ประสบความสำเร็จต้องอาศัยการเรียนรู้, การฝึกฝนสังเกตโปรไฟล์ในแต่ละวัน, และการจดบันทึกพฤติกรรมของราคาเมื่อเข้าใกล้ระดับสำคัญต่างๆ (POC, VAH, VAL) เทรดเดอร์ที่เชี่ยวชาญ Market Profile จะไม่ได้แค่ "ตาม" ราคา แต่จะสามารถ "คาดการณ์" พฤติกรรมของราคาในอนาคตโดยอิงจากโครงสร้างตลาดที่เป็นจริงได้สำหรับเทรดเดอร์ CFD การผสมผสานความเข้าใจจาก Market Profile เข้ากับการวิเคราะห์แท่งเทียน (Price Action) และการบริหารความเสี่ยงที่รัดกุม จะเป็นกุญแจสำคัญในการยกระดับการเทรดของตนเองให้มีความได้เปรียบเหนือกว่าผู้เล่นส่วนใหญ่ในตลาด และสร้างผลกำไรได้อย่างสม่ำเสมอในระยะยาว

 

11. เอกสารอ้างอิง

 

  • Dalton, James. (1999). Mind Over Markets: Power Trading with Market Profile. Wiley.

  • Steidlmayer, J. Peter., & Koy, Steven B. (1986). Markets and Market Logic. Porcupine Press.

  • Keppler, John. (2014). Profile Trading Basics: The Ultimate Crash Course to Mastering the Market Profile.



   
อ้างอิง
68com
(@68com)
สมาชิก
โพสครบ 20 กะทู้
Rank F
เข้าร่วม: 2 เดือน ที่ผ่านมา
กระทู้: 64
 

ต้องลองแล้วมั้ง



   
ตอบอ้างอิง

ทิ้งคำตอบไว้

ชื่อผู้แต่ง

อีเมลผู้เขียน

ตำแหน่ง *

You are not allowed to attach files on this forum. It is possible that you have not reached the minimum required number of posts, or your user group does not have permission to attach files in this forum.
 
ดูตัวอย่าง แก้ไข 0 ครั้ง บันทึกแล้ว
แบ่งปัน: