กลยุทธ์ Position Sizing: หัวใจสำคัญของการอยู่รอดและทำกำไรในตลาดหุ้น
เอกสารนี้คือวิทยานิพนธ์ระดับปริญญาโทของ Johan Ginyard จากภาควิชาจิตวิทยา มหาวิทยาลัย Uppsala เมื่อปี 2001 ในหัวข้อ "Position-sizing Effects on Trader Performance: An experimental analysis" (ผลของขนาด Position ต่อประสิทธิภาพของนักเทรด: การวิเคราะห์เชิงทดลอง) บทคัดย่อ งานวิจัยนี้ศึกษาผลของ "position size" ซึ่งหมายถึงการจัดสรรเงินทุนที่มีอยู่ไปใช้ในแต่ละตำแหน่งการลงทุน โดยเป็นการทดลองให้นักศึกษา 2 กลุ่มเทรดเงินทุนปลอมผ่านชุดการเทรด กลุ่มทดลองได้รับฟังบรรยาย 3 ชั่วโมงเกี่ยวกับ position sizing, การจัดการความเสี่ยง และอคติทางจิตวิทยา ในขณะที่กลุ่มควบคุมไม่ได้รับ
ผลการศึกษาพบว่า:
-
กลุ่มทดลองมีโอกาสล้มละลาย (สูญเสียเงินทั้งหมด) น้อยกว่ากลุ่มควบคุมอย่างมีนัยสำคัญ (p<.01)
-
กลุ่มทดลองไม่ได้ทำกำไรได้มากกว่ากลุ่มควบคุมอย่างมีนัยสำคัญ
-
นักเทรดที่ทำกำไรได้ในระยะยาวมีแนวโน้มที่จะใช้ position size ที่เล็กกว่านักเทรดที่ขาดทุนหรือล้มละลาย (p<.0001)
-
การได้รับการศึกษาเชิงทฤษฎี (โดยไม่มีการฝึกปฏิบัติ) สามารถลดความเสี่ยงที่นักเทรดจะล้มละลายลงได้ถึงหนึ่งในสิบ
งานวิจัยนี้ได้รับเงินสนับสนุนจาก Nordea Markets, Copenhagen และ Börsinsikt AB, Stockholm
ที่มาและข้อมูลเบื้องหลัง
-
ในช่วงสิบปีที่ผ่านมา การซื้อขายหุ้นและอนุพันธ์เพิ่มขึ้นอย่างมาก โดยในสวีเดนมีรายงานว่า 80% ของประชากรที่มีอายุ 16 ปีขึ้นไปเป็นผู้ถือหุ้น
-
สื่อมักรายงานเรื่องราวของคนที่ทำกำไรได้มหาศาล และในช่วงที่ตลาดตกต่ำก็เปลี่ยนมาเน้นที่การขาดทุน
-
นักวิจัยด้านการเงินเชิงพฤติกรรม (behavioral finance) พบว่านักลงทุนมักมีข้อบกพร่อง เช่น ความเชื่อมั่นที่มากเกินไป (overconfidence) ซึ่งทำให้เข้าลงทุนบ่อยเกินไป และประเมินความน่าจะเป็นของการคาดการณ์สูงเกินไป
-
นักลงทุนยังปรับความคาดหวังช้า และการตัดสินใจภายใต้ความไม่แน่นอนได้รับอิทธิพลจากการ "จัดกรอบ" (frame) ของสถานการณ์ โดยเมื่อสถานการณ์เป็นลบ (ขาดทุน) จะมีแนวโน้มที่จะแสวงหาความเสี่ยง (risk seeking) แต่เมื่อสถานการณ์เป็นบวก (กำไร) จะหลีกเลี่ยงความเสี่ยง (risk-averse)
-
แนวคิด "ตัดขาดทุนให้สั้นและปล่อยให้กำไรวิ่ง" (Cut your losses short and Let your profits run) ดูเหมือนจะเป็นจุดร่วมที่ทำให้นักเทรดที่ประสบความสำเร็จสามารถทำกำไรได้
-
การขาดทุนส่งผลกระทบต่อการฟื้นตัวอย่างมาก เช่น การขาดทุน 10% ต้องทำกำไร 11.1% เพื่อคืนทุน, การขาดทุน 50% ต้องทำกำไร 100% เพื่อคืนทุน
-
นักเทรดชื่อดัง Bruce Kovner แนะนำให้ลดขนาด position ลงครึ่งหนึ่งจากที่คิดไว้
-
นักวิเคราะห์ของบริษัทนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ในสหรัฐฯ มักจะแนะนำให้ "ซื้อ" หรือ "ถือ" โดยมีเพียง 1% เท่านั้นที่แนะนำให้ "ขาย"
-
การตัดสินใจของมนุษย์ไม่ได้เป็นไปอย่างมีเหตุผลเสมอไป โดยมีงานวิจัยของ Kahneman และ Tversky (1979) ที่แสดงให้เห็นว่าผู้คนกลัวการขาดทุนมากกว่าที่จะเห็นคุณค่าของกำไร และเมื่ออยู่ในสถานการณ์ที่ขาดทุน ผู้คนมีแนวโน้มที่จะเสี่ยงมากขึ้นเพื่อหลีกเลี่ยงการขาดทุน ซึ่งเป็นที่รู้จักในชื่อ "Disposition effect" หรือการขายสินทรัพย์ที่กำไรและถือสินทรัพย์ที่ขาดทุน
สมมติฐาน งานวิจัยนี้ตั้งสมมติฐานหลายข้อ:
-
ผู้ที่ล้มละลายจะใช้ position size ที่ใหญ่กว่าผู้ที่รอด
-
ผู้ที่ขาดทุนแต่ไม่ล้มละลายจะใช้ position size ที่ใหญ่กว่าผู้ที่ทำกำไร
-
ผู้ที่ได้รับบรรยายจะใช้ position size เล็กกว่ากลุ่มควบคุม
-
ผู้ที่ได้รับบรรยายจะล้มละลายในอัตราที่น้อยกว่ากลุ่มควบคุม
-
กลุ่มที่ได้รับบรรยายจะทำกำไรได้สูงกว่ากลุ่มควบคุม
-
ผู้หญิงจะล้มละลายในอัตราที่น้อยกว่าผู้ชาย
-
ผู้หญิงจะทำกำไรได้มากกว่าผู้ชาย
-
ผู้ที่มีประสบการณ์จะล้มละลายในอัตราที่น้อยกว่าผู้ที่มีประสบการณ์น้อย
-
ผู้ที่มีประสบการณ์จะทำกำไรได้มากกว่าผู้ที่มีประสบการณ์น้อย
ระเบียบวิธีวิจัย
-
ผู้เข้าร่วม 62 คนเป็นนักศึกษาจากมหาวิทยาลัย Uppsala
-
ผู้เข้าร่วมถูกแบ่งเป็น 3 กลุ่ม: กลุ่มทดลอง 2 กลุ่มได้รับบรรยาย และกลุ่มควบคุม 1 กลุ่ม
-
การเทรดเป็นการจำลองด้วยเงินปลอม โดยผู้เข้าร่วมสามารถควบคุมได้เพียงตัวแปรเดียวคือ position size (สัดส่วนของเงินทุนที่จะเสี่ยงในแต่ละการเทรด)
-
ผลลัพธ์ของการเทรดแต่ละครั้งถูกกำหนดโดยการสุ่มหยิบลูกหินออกจากถุง
-
ผู้เข้าร่วมเริ่มต้นด้วยเงินปลอม 10,000 fSEK (fictitious Swedish kronor) และจะถูกหยุดการเทรดหากเงินหมด
-
เงินค่าตอบแทน 100 SEK จะต้องคืนหากเงินปลอมหมด
ผลการวิจัย
-
ค่าเฉลี่ยของผลลัพธ์สำหรับผู้เข้าร่วมทั้งหมด 52 คนคือ 79,616 fSEK
-
10 คน (19.2%) ล้มละลาย, 6 คน (11.5%) ขาดทุนแต่ไม่ล้มละลาย, และ 36 คน (69.2%) ทำกำไร
-
กลุ่มทดลอง (ได้รับบรรยาย) มี position size เล็กกว่ากลุ่มควบคุมอย่างมีนัยสำคัญทั้งในระดับ 1 (t=14.8,p<.0001) และระดับ 2 (t=3.0,p<.001)
-
สมมติฐานที่ 1 และ 2 ได้รับการยืนยัน: นักเทรดที่ล้มละลายมีความเสี่ยงเฉลี่ย 22.9% ในระดับ 1 และ 23.7% ในระดับ 2 ในขณะที่นักเทรดที่รอดมีความเสี่ยงเพียง 6.6% และ 3.7% ตามลำดับ ซึ่งแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญ (p<.0001)
-
สมมติฐานที่ 3 ได้รับการยืนยัน: กลุ่มที่ได้รับบรรยายใช้ position size เฉลี่ย 5.5% ในระดับ 1 และ 3.6% ในระดับ 2 ซึ่งเล็กกว่ากลุ่มควบคุมที่ใช้ 12.0% และ 5.3%
-
สมมติฐานที่ 4 ได้รับการยืนยัน: กลุ่มทดลองล้มละลายในอัตราที่น้อยกว่า (6.3%) เมื่อเทียบกับกลุ่มควบคุม (40.0%) การได้รับบรรยายลดความเสี่ยงในการล้มละลายลงได้ถึงสิบเท่า
-
สมมติฐานที่ 5 ไม่ได้รับการยืนยัน: กลุ่มทดลองไม่ได้ทำกำไรโดยเฉลี่ยสูงกว่ากลุ่มควบคุมอย่างมีนัยสำคัญ
-
สมมติฐานที่ 7 และ 9 ได้รับการยืนยัน: ผู้หญิงทำกำไรได้มากกว่าผู้ชาย (M=249,938 fSEK vs M=77,372 fSEK) และนักเทรดที่มีประสบการณ์ทำกำไรได้มากกว่านักเทรดที่มีประสบการณ์น้อย
-
สมมติฐานที่ 6 และ 8 ไม่ได้รับการยืนยัน: ไม่พบความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญระหว่างจำนวนผู้หญิงที่ล้มละลายเทียบกับผู้ชาย หรือระหว่างนักเทรดที่มีประสบการณ์ต่างกัน
สรุปและอภิปรายผล
-
ผลการศึกษาเน้นย้ำถึงความสำคัญของ position sizing
-
การจะอยู่รอดในการเทรดต้องใช้ position size ที่เล็ก (ประมาณ 3.7% - 6.6%) ไม่ใช่ขนาดใหญ่ (ประมาณ 22.9% - 23.7%)
-
การได้รับบรรยาย 3 ชั่วโมงสามารถเพิ่มโอกาสรอดของนักเทรดได้ถึงสิบเท่า
-
แม้ว่ากลุ่มทดลองจะไม่ได้ทำกำไรสูงกว่า แต่การเน้นการตัดขาดทุนและเอาตัวรอดในระยะสั้นก่อนเป็นสิ่งสำคัญ
-
การที่ผู้หญิงทำกำไรได้มากกว่าผู้ชายอาจมาจากพฤติกรรมหลีกเลี่ยงความเสี่ยง
-
ผู้ที่มีประสบการณ์ในการเทรดทำผลงานได้ดีกว่า ซึ่งสอดคล้องกับแนวคิดที่ว่าการแสวงหาความเสี่ยงลดลงตามประสบการณ์
-
งานวิจัยนี้มีข้อจำกัดเนื่องจากเป็นการทดลองในห้องปฏิบัติการโดยมีเงินรางวัลจริงเพียงเล็กน้อย ซึ่งอาจทำให้พฤติกรรมการตัดสินใจแตกต่างจากการเทรดด้วยเงินจริง
-
งานวิจัยสรุปว่าการสอนความรู้เรื่อง position sizing สามารถช่วยให้นักเทรดอยู่รอดในตลาดได้มากขึ้น
สามารถ Downoad เอกสารงานวิจัยได้ที่ :
ทิ้งคำตอบไว้
- 44 ฟอรัม
- 2,922 หัวข้อ
- 8,348 กระทู้
- 38 ออนไลน์
- 3,876 สมาชิก