คุณเคยรู้สึกเบื่อไหม กับการทำงานวันละ 8-9 ชั่วโมง แต่รายได้กลับไม่พอใช้ ?
.
อย่าว่าแต่จะมีอิสรภาพทางการเงินเลย แค่จะมีเงินเหลือเก็บยังยากเย็นแสนเข็ญ
.
ผมเองก็เคยเป็นแบบนั้น ทำงานมาตั้งแต่อายุ 13 ทำมาเกือบ 10 ปี แต่ชีวิตก็ยังไม่ดีขึ้น
.
จนกระทั่งวันหนึ่งในสมัยที่ผมเรียนมหาวิทยาลัยปี 4 เจ้าของเพจ "ไปให้ถึง 100 ล้าน" ได้มาสอนเรื่องการตลาดในบริษัทที่ผมฝึกงานอยู่
.
ผมรู้สึกสนใจมากและพยายามซักถามทุกอย่างที่อยากรู้
.
หลังจากเรียนเรื่องการตลาดเสร็จ เราก็คุยกันต่อยาวมากจนถูกคอ พี่เขาจึงเอ่ยปากชวนผมไปที่ออฟฟิศของเขา
.
พอไปถึงออฟฟิศ พี่เขาไม่เพียงแต่พาผมเยี่ยมชมออฟฟิศเท่านั้น แต่ยังเปิดหลังบ้านให้ดูด้วยว่าพวกเขาทำงานกันอย่างไร
.
เขาเล่าว่า เขาสามารถสร้างธุรกิจออนไลน์จนประสบความสำเร็จได้ โดยไม่มีทุนเริ่มต้นเลย
.
ตอนแรกผมก็ไม่เชื่อหรอกครับ คิดว่าเป็นไปไม่ได้แน่ๆ เอาจริงๆ ตอนนั้นผมยังคิดว่าตัวเองจะจับเงินล้านแรกได้ ก็คงตอนอายุ 40 ด้วยซ้ำ
.
แต่พอได้ฟังเขาเล่าถึงวิธีการทำธุรกิจออนไลน์ ตั้งแต่การสร้างคอนเทนต์ การหารายได้จากโฆษณา ไปจนถึงการสร้างสินค้าของตัวเอง ผมก็เริ่มเห็นว่ามันเป็นไปได้จริงๆ
.
ผมกลับมาด้วยความตื่นเต้น และ เริ่มต้นลงมือทำธุรกิจออนไลน์ของตัวเองตาม Step นั้นทันที
.
จนในที่สุด วันนี้ผมก็ทำมันสำเร็จจริงๆ แม้ปีแรกจะทำกำไรได้แค่ 50,000 บาท แต่ปีต่อมาก็พุ่งไป 300,000 บาท
.
แต่สุดท้าย ผมก็สามารถจับล้านแรกได้ตั้งแต่อายุ 24
.
หรือ พูดง่ายๆ คือ ใช้เวลาแค่ 2 ปีเท่านั้น จากที่คิดว่าจะจับเงินล้านแรกได้ตอนอายุ 40 เรียกได้ว่าเร็วกว่าที่คิดไว้ถึง 16 ปี
.
วันนี้ผมจึงนำประสบการณ์วิธีการสร้างธุรกิจออนไลน์ให้สำเร็จภายใน 2 ปี โดยไม่ต้องมีทุน มาเล่าให้ทุกคนฟัง เผื่อว่ามันจะเป็นแรงบันดาลใจให้คุณได้เริ่มต้นเหมือนที่ผมเคยได้รับมา

Content is King : คอนเทนต์ คือ ราชา
.
เริ่มต้นด้วยการสร้าง Content
.
นี่คือจุดเริ่มต้นที่สำคัญมากครับ คุณต้องสร้างคอนเทนต์ที่มีคุณค่าและน่าสนใจในโซเชียลมีเดีย เพราะมันคือ สิ่งเดียวที่คุณจะได้เข้าถึงลูกค้าได้
.
โดยเลือกแพลตฟอร์มที่เหมาะกับกลุ่มเป้าหมายของคุณ อย่าทำตามกระแสที่ใครบอกว่าดี
.
จะเป็น Facebook Instagram TikTok หรือ YouTube ก็ได้ แต่ต้องตรงกลุ่มเป้าหมาย
.
ถ้าคุณชอบสัตว์เลี้ยง คุณอาจจะสร้างบัญชี Instagram รวบรวมวิดีโอสุนัขน่ารักๆ หรือ จะแชร์เทคนิคการดูแลสัตว์เลี้ยง การแก้ปัญหาเวลาน้องหมาป่วยก็ได้
.
ถ้าคุณชอบทำอาหาร ก็ลองทำคลิปแจกสูตรใน TikTok
.
หรือ ตัวผมเองที่ชอบพัฒนาตัวเอง ชอบการตลาด ชอบทำธุรกิจ ผมก็นำเทคนิค กรณีศึกษา หรือ วิธีแก้ปัญหาในด้านต่างๆ พร้อมป้ายยาว่ามันมาจากหนังสือเล่มไหน
.
เช่น ผมใช้เทคนิคจากหนังสือเล่มไหนแก้ปัญหานิสัยผัดวันประกันพรุ่ง ใช้เทคนิคจากหนังสือเล่มไหนปิดการขายได้หลักแสน ใช้กลยุทธ์จากหนังสือเล่มไหนทำให้ลูกค้ากลับมาซื้อซ้ำ
.
ทำแบบนี้ไปเรื่อยๆ จนมีคนติดตามเยอะๆ แล้วค่อยมองหาโอกาสในการสร้างรายได้

Followers is Asset : ผู้ติดตาม คือ ทรัพย์สิน
.
เมื่อคุณทำไปจนมีฐานผู้ติดตามระดับหนึ่งแล้ว ก็ถึงเวลาที่จะเริ่มสร้างรายได้อย่างจริงจัง
.
เพราะผู้ติดตาม คือ ทรัพย์สินอย่างหนึ่งที่ทำให้เงินไหลเข้ากระเป๋าคุณได้
.
วิธีที่ง่ายที่สุดในยุคนี้ คือ การทำ Affiliate Marketing ครับ
.
คุณแค่แนะนำสินค้าหรือบริการที่เกี่ยวข้องกับคอนเทนต์ของคุณ โดยเลือกโปรแกรมสินค้าที่ให้ผลตอบแทนสูงและเหมาะกับผู้ติดตามของคุณ
.
เคล็ดลับ คือ ต้องสร้างคอนเทนต์ที่สามารถแก้ปัญหาให้คนดูได้จริงๆ แล้วค่อยป้ายยาสินค้าอย่างเป็นธรรมชาติ โดยไม่ยัดเยียดจนเกินไป
.
ผมเองก็เริ่มต้นจากจุดนี้เหมือนกันครับ เพราะยุคแรกของเพจสมองไหล คือ เพจที่เน้นไปในเรื่องการรีวิวหนังสือด้านการพัฒนาตนเอง การตลาด และ ธุรกิจ เป็นหลัก
.
ทุกครั้งที่อ่านหนังสือจบ ผมจะเขียนบทความลงเพจโดยเล่าถึงประสบการณ์ ว่าได้นำเทคนิคจากหนังสือเล่มนั้นไปใช้ในชีวิตจริงยังไงบ้าง
.
พอทำไปได้สักพัก มีคนติดตามเพจเยอะขึ้น ผมก็เริ่มเปิดบริการให้คำปรึกษา โดยให้ผู้ติดตามสามารถทักมาปรึกษาปัญหาที่ตัวเจอกับผมได้ พร้อมแนะนำว่าวิธ๊แก้ไขอยู่ในหนังสือเล่มไหน
.
เมื่อลูกค้าตัดสินใจซื้อ ผมก็นั่งรถสองแถวไปซื้อหนังสือที่ร้านหนังสือในห้าง แล้วมาแพ็คส่งให้ลูกค้าตอนเช้า
.
พอมียอดขายเยอะๆ ผมก็ติดต่อไปยังสำนักพิมพ์ต่างๆ เพื่อต่อรองส่วนลด
.
พอได้ส่วนลดมากขึ้น ผมก็มี Gap ให้เล่นโปรโมชั่นมากขึ้น ยอดขายก็เพิ่มขึ้น คราวนี้อำนาจการต่อรองผมก็มากขึ้น
.
เมื่ออำนาจการต่อรองผมมากขึ้น ผมก็สามารถขอให้ทางสำนักพิมพ์เป็นคนแพ็ค และ จัดส่ง ให้ลูกค้า โดยผมจะทำหน้าที่ขายและส่งรายชื่อให้เขาอย่างเดียว
.
ซึ่งในยุคนี้ คุณสามารถทำได้ง่ายกว่านั้นเยอะ เพราะคุณสามารถสมัครเป็นตัวแทนจำหน่ายแบบ Affiliate ได้เลย
.
แต่ถ้าวันนี้ให้ผมเลือก ระหว่าง Affiliate กับ Dropship ผมก็ยังคงเลือก Dropship อยู่ดี
.
เพราะการทำ Dropship ทำได้กำไรมากกว่า 2-3 เท่า
.
คือ Affiliate ผมจะได้ค่าคอมมิชชั่นประมาณ 7-13% แต่ถ้า Dropship ผมจะได้ 30-40% เลย
.
เนื่องจากทางผู้ขายเขาไม่ต้องเสียค่าธรรมเนียมให้กับแพลตฟอร์ม เขาจึงเอาส่วนต่างตรงนั้นมาเพิ่มคอมมิชชั่นให้เราได้
.
ซึ่งผลลัพธ์ที่ได้ทำเอาผมตกใจมาก เพราะหลังจากผมทำแบบนี้ไปได้ 3 เดือน ผมสามารถสร้างรายได้จากค่าคอมมิชชั่นได้มากกว่าเงินเดือนจากงานประจำ 2 เท่า แถมยังมีเงินเก็บในกระเป๋าถึง 300,000 บาท !
.
นี่แหละครับ ที่เขาเรียกว่า "ขายโดยไม่ต้องขาย" เพราะผมไม่ได้ยัดเยียดให้ใครซื้อ แต่ลูกค้ากลับวิ่งเข้ามาซื้อเองเพราะเห็นคุณค่าจากสิ่งที่ผมนำเสนอ
.
นี่แสดงให้เห็นแล้วว่า ไม่ว่าคุณจะชอบอะไร ก็สามารถนำมาต่อยอดเป็นธุรกิจออนไลน์ได้ทั้งนั้น ขอแค่คุณเริ่มลงมือทำอย่างจริงจังและสม่ำเสมอครับ

Service is Scale : บริการ คือ ขยาย
.
พอคุณเริ่มมีรายได้และชื่อเสียงแล้ว ก็ถึงเวลาที่จะเริ่มเปิดตัวบริการของคุณเองบ้าง
.
คุณเก่งอะไร ? เขียน ? ออกแบบ ? ทำคลิป ? ตัดต่อ ? การตลาด ? ขายมันเลย!
.
ลองนึกดูว่าคุณมีทักษะอะไรที่สามารถสร้างมูลค่าได้บ้าง อาจจะเป็นการเขียน การออกแบบ หรือการตลาดออนไลน์ก็ได้
.
จากนั้นก็สร้างแพ็คเกจบริการที่ชัดเจนพร้อมราคา แล้วโปรโมทผ่านช่องทางที่คุณสร้างไว้ในขั้นตอนก่อนหน้า
.
ยกตัวอย่างเช่น ถ้าคุณเก่งด้านการเขียน คุณอาจจะเสนอบริการเขียนบทความการตลาดให้กับธุรกิจขนาดเล็ก หรือ พ่อค้าแม่ค้าคนอื่นๆ ที่เขาเขียนคอนเทนต์ไม่เก่ง ทำการตลาดไม่เป็น
.
ประเด็น คือ ธุรกิจบริการมันไม่มีต้นทุนเหมือนสินค้า เพราะต้นทุนเดียวที่คุณใช้ คือ เวลา
.
คุณขายราคาเท่าไหร่ คุณก็ได้กำไรเท่านั้น หรือ อย่างน้อยที่สุด กำไรของมันก็อยู่ที่ 90%
.
นี่คือ จุดที่คุณจะสามารถสะสมเงินทุนเอาไว้ต่อยอดธุรกิจได้มากที่สุดแล้ว

Team is Time : ทีม คือ เวลา
.
สร้างทีม กระจายงาน เพื่อขยายธุรกิจแบบทวีคูณ
.
พอธุรกิจของคุณเริ่มเติบโต คุณอาจจะรับมือกับปริมาณงานที่เพิ่มขึ้นไม่ไหว
.
เพราะทุกคนมีเวลาจำกัดที่ 24 ชั่วโมง แต่ถ้าคุณมีเงิน คุณก็ซื้อเวลาจากคนที่ยินดีขายมันได้
.
ในเมื่อคุณสะสมทุนเอาไว้ในขั้นตอนก่อนหน้าแล้ว คราวนี้คุณก็ใช้มันจ้างคนอื่นมาทำงาน ทำเงินเพิ่ม
.
ตัวอย่างเช่น ถ้าคุณรับงานเขียนบทความจำนวนมาก คุณก็อาจจะจ้างนักเขียนฟรีแลนซ์มาช่วย โดยคุณทำหน้าที่เป็นตัวกลางในการ บริหารจัดการ และ หาลูกค้าเพิ่ม
.
สิ่งสำคัญ คือ คุณต้องสร้างระบบและกระบวนการทำงานที่มีประสิทธิภาพ เพื่อให้ธุรกิจของคุณสามารถขยายตัวได้อย่างยั่งยืน

ขอบคุณบทความดีๆจาก สมองไหล