ลองหลับตา(ในใจ)แล้วนึกถึงโลกใบใหญ่… ที่ไม่ได้สงบสุขอย่างที่เราหวัง โลกที่มหาอำนาจสองฝั่งกำลังเดินเกมเหมือนบนกระดานหมากรุก

จีนกับสหรัฐ ไม่ได้เริ่มทะเลาะกันเพราะเรื่องเดียว แต่มันเหมือนคนคบกันนานๆ แล้วเริ่มจับผิดกันทุกอย่าง
แรกเริ่มเดิมที มันดูเหมือนการแข่งขันทางเศรษฐกิจ
“ของฉันผลิตถูกกว่า ของฉันควบคุมตลาดได้ ของฉันมี AI ล้ำกว่า ของฉันส่งออกเยอะกว่า…”
ฟังเผินๆ อาจดูเหมือนแค่ศึกการค้า
แต่ลึกๆ มันคือ "ศึกชิงความเป็นใหญ่ของโลก"

จีนต้องการปั้นตัวเองให้เป็นพี่ใหญ่ของเอเชีย
ในขณะที่สหรัฐก็ไม่ยอมปล่อยบังเหียนให้ใครมาแย่ง
ผลคือ ทุกสิ่งทุกอย่างที่เคยเป็นแค่ธุรกิจ กลายเป็นหมากในเกมภูมิรัฐศาสตร์
ใครจะคิดว่า ชิปตัวจิ๋วๆ จะเป็นชนวนให้เกิดกฎหมายห้ามส่งออก
หรือแอปมือถือ จะถูกแบนเพราะกลัวว่าข้อมูลจะไหลกลับไปหาศัตรู

แล้ว…ทองคำเกี่ยวอะไร?

ทองคำคือสิ่งที่มนุษย์ให้ค่ามาโดยตลอด
แต่ในช่วงเวลาที่โลกสั่นคลอน มันจะกลายเป็น "ที่พักใจ" ของนักลงทุน

เพราะเมื่อมหาอำนาจเริ่มขู่กันแรงๆ ว่าจะขึ้นภาษี ตัดสัมพันธ์ หรือแม้กระทั่งพูดถึง “ความเป็นไปได้ของสงคราม”
ค่าเงินจะเริ่มสั่นไหว
หุ้นจะเริ่มผันผวน
และคนจะเริ่มมองหาสิ่งที่ไม่เปลี่ยนแปลงง่ายๆ
นั่นแหละ…ทองคำจึงกลับมาเปล่งประกาย

มันคือ “ของเก่า” ที่ยังไม่หมดคุณค่า
เป็นเหมือนเพื่อนเก่าที่เรากลับไปหาเมื่อรู้สึกไม่ปลอดภัย
และยิ่งโลกวุ่นวาย ทองคำยิ่งมีราคา
เพราะมันไม่ได้สะท้อนแค่ความหรูหรา
แต่มันสะท้อน "ความกลัว" ที่ซ่อนอยู่ในใจคน

ดังนั้นทุกครั้งที่มีข่าวว่า “จีนอาจตอบโต้ด้วยการลดถือครองพันธบัตรสหรัฐ”
หรือ “สหรัฐอาจตัดขาดบริษัทจีนบางราย”
แม้จะเป็นแค่ข่าว
แต่มันคือแรงสั่นสะเทือนที่วิ่งมาถึงตลาดทองคำในทันที

สุดท้าย…
สงครามอาจยังไม่ระเบิด
แต่ความกลัวได้ปลุกทองคำให้ลุกขึ้นยืนใหม่อีกครั้ง

และมันก็คือหนึ่งในไม่กี่สิ่งบนโลก
ที่ยิ่งโลกกลัว…มันยิ่งสว่าง