ราคาทองคำปรับตัวลดลงอย่างรวดเร็วมากกว่า 1% ในช่วงการซื้อขายของตลาดสหรัฐฯ โดยร่วงจากระดับ 3345 ดอลลาร์ ลงมาอยู่ที่ 3297 ดอลลาร์ต่อออนซ์ สะท้อนแรงกดดันจากปัจจัยเศรษฐกิจหลายด้านที่เกิดขึ้นพร้อมกันในช่วงนี้

ปัจจัยพื้นฐานที่กดดันราคาทองคำ

1. ผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ พุ่งขึ้น

นักลงทุนขายทองคำเพื่อนำเงินไปลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลที่ให้ผลตอบแทนสูงขึ้น ส่งผลให้ราคาทองคำที่ไม่มีผลตอบแทนดอกเบี้ยถูกเทขาย

2. ดอลลาร์แข็งค่าต่อเนื่อง

ค่าเงินดอลลาร์แข็งค่าขึ้นจากกระแสเงินทุนไหลเข้าสหรัฐฯ และคาดการณ์ว่าเศรษฐกิจยังแข็งแกร่ง ส่งผลให้ราคาทองคำในรูปเงินดอลลาร์ยิ่งอ่อนค่าลง

3. ตลาดคลายความกังวลเรื่องภาษี

แม้ทรัมป์ยังขู่ขึ้นภาษีสินค้าเทคโนโลยีและเวชภัณฑ์ แต่การเลื่อนกำหนดบังคับใช้ภาษีจาก 9 กรกฎาคม เป็น 1 สิงหาคม ทำให้ตลาดตอบสนองในเชิงบวกและลดความต้องการถือสินทรัพย์ปลอดภัยอย่างทองคำ

4. คาดการณ์การลดดอกเบี้ยของ FED ลดลง

ข้อมูลจาก CME FedWatch Tool ระบุว่า ตลาดคาดว่า FED จะลดดอกเบี้ยเพียง 0.48% ในปี 2025 ซึ่งถือว่าน้อยกว่าที่เคยคาดไว้ จึงเป็นอีกแรงกดดันต่อทองคำ

5. แม้มีแรงซื้อจาก ETF และธนาคารกลางจีน

ในช่วงครึ่งปีแรก มีเงินไหลเข้า ETF ทองคำมากที่สุดในรอบ 5 ปี และจีนยังคงซื้อทองคำต่อเนื่อง แต่ยังไม่สามารถต้านแรงขายจากฝั่งนักลงทุนทั่วโลกได้

การวิเคราะห์ทางเทคนิค 

แนวโน้มภาพรวม

แม้ราคาทองคำยังอยู่ในแนวโน้มขาขึ้นในกราฟรายวัน แต่เริ่มมีสัญญาณอ่อนแรง แรงซื้อเริ่มลดลง และ RSI เริ่มแสดงสัญญาณ bearish divergence ซึ่งชี้ว่าแรงขายกำลังเพิ่มขึ้น

สัญญาณจาก RSI

ระดับ RSI บริเวณ 54 และเริ่มโค้งลงต่ำกว่าค่าเฉลี่ย เคลื่อนไหวในโซนกลางที่ยังไม่แสดงทิศทางชัดเจน แต่มีโอกาสลงต่ำกว่า 50 ซึ่งอาจนำไปสู่แรงขายเพิ่ม

แนวรับและแนวต้านที่สำคัญ

• แนวรับ 
  • 3,250 
  • 3,246 
  • 3,181 
  • 3,120 
• แนวต้าน 
  • 3,320 
  • 3,350

คำแนะนำสำหรับนักลงทุน

• ระวังความผันผวน ราคาทองคำตอนนี้ผันผวนมากนะ เพราะมีทั้งปัจจัยเรื่องภาษี ดอกเบี้ย และค่าเงินดอลลาร์เข้ามาเกี่ยวข้อง
• จับตาข่าว FED วันพุธนี้จะมีการเปิดเผยรายงานการประชุม FED ล่าสุด ซึ่งอาจส่งผลต่อราคาทองคำได้
• อย่าเพิ่งรีบ ถ้ายังไม่มั่นใจในทิศทางของราคา ควรรอดูสถานการณ์ให้ชัดเจนก่อนตัดสินใจลงทุนนะ
• พิจารณาความเสี่ยง การลงทุนมีความเสี่ยง ควรศึกษาข้อมูลให้ดีก่อนตัดสินใจลงทุนทุกครั้ง