สรุปสถานการณ์ตลาดการเงิน 10 ธันวาคม 2024
📊 สรุปข่าวภาคค่ำประจำวันที่ 10/12/2024
1️⃣ ทองคำ (Gold)
💰 ราคาทองคำวันนี้แนวโน้ม: ราคาทองคำมีแนวโน้มปรับตัว เพิ่มขึ้นในระยะสั้นถึงกลาง จากปัจจัยสนับสนุนทั้งในด้านความต้องการจากจีน นโยบายการเงินผ่อนคลายทั่วโลก และสถานการณ์ความไม่สงบในตะวันออกกลาง
📉 สาเหตุหลัก: ปัจจัยสนับสนุนการปรับขึ้นของราคาทองคำ
1.การกลับมาซื้อทองของธนาคารกลางจีน:
- ธนาคารกลางจีนกลับมาซื้อทองคำในเดือนพ.ย. หลังหยุดซื้อไปตั้งแต่เดือนพ.ค.
- สะท้อนถึงการสะสมสินทรัพย์ปลอดภัยเพื่อเพิ่มความมั่นคงของทุนสำรองระหว่างประเทศ
2.นโยบายการเงินผ่อนคลายของจีน:
- จีนส่งสัญญาณผ่อนคลายนโยบายการเงินเป็นครั้งแรกในรอบ 13 ปี เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ
- นโยบายดังกล่าวช่วยเพิ่มความต้องการทองคำทั้งในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัยและเครื่องมือป้องกันความเสี่ยงด้านเงินเฟ้อ
3.ความไม่สงบในตะวันออกกลาง:
- สถานการณ์ความไม่สงบในซีเรียเพิ่มแรงหนุนให้นักลงทุนเข้าซื้อทองคำในฐานะ สินทรัพย์ปลอดภัย (Safe Haven)
- การโค่นล้มรัฐบาลซีเรียสร้างความกังวลต่อเสถียรภาพภูมิภาค
4.ความคาดหวังการลดดอกเบี้ยของ Fed:
- ตลาดคาดการณ์ว่า Fed จะลดดอกเบี้ย 0.25% ในการประชุมเดือนนี้ ซึ่งจะส่งผลให้ค่าเงินดอลลาร์อ่อนค่าลง และช่วยหนุนราคาทองคำ
5.ข้อมูล CPI ที่ชะลอตัว:
- หากดัชนี CPI ของสหรัฐฯ ต่ำกว่าคาดการณ์ จะเพิ่มโอกาสที่ Fed จะปรับลดดอกเบี้ยต่อเนื่อง และลดแรงกดดันต่อทองคำในฐานะสินทรัพย์ที่ไม่ให้ผลตอบแทน
ปัจจัยที่อาจกดดันราคาทองคำ
1.ดอลลาร์สหรัฐยังทรงตัวแข็งค่า:
- แม้ว่าค่าเงินดอลลาร์มีโอกาสอ่อนค่าในระยะยาว แต่การเคลื่อนไหวระยะสั้นอาจยังได้รับแรงหนุนจากการคาดการณ์ CPI
2.ความผันผวนของข้อมูลเศรษฐกิจ:
- หากข้อมูล CPI สูงกว่าคาดการณ์ อาจเพิ่มแรงกดดันให้ Fed ชะลอการลดดอกเบี้ย ซึ่งจะกระทบต่อราคาทอง
สรุป
- ราคาทองคำมีแนวโน้ม เพิ่มขึ้นในระยะสั้นถึงกลาง โดยมีปัจจัยหนุนจากการเพิ่มความต้องการทองคำของจีน นโยบายการเงินผ่อนคลายทั่วโลก และสถานการณ์ความไม่สงบในตะวันออกกลาง อย่างไรก็ตาม นักลงทุนควรจับตาข้อมูล CPI ของสหรัฐฯ และผลการประชุม Fed ที่อาจส่งผลต่อการเคลื่อนไหวระยะสั้นของตลาดทองคำ.
2️⃣ ดอลลาร์สหรัฐ (USD)
💵 ดอลลาร์แข็งค่า สอดคล้องบอนด์ยีลด์ดีดตัว ก่อนเผย CPI พรุ่งนี้
📊 แนวโน้ม: ดอลลาร์มีแนวโน้ม แข็งค่าขึ้นในระยะสั้น เนื่องจากการดีดตัวของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐฯ และความไม่แน่นอนเกี่ยวกับตัวเลขเงินเฟ้อ (CPI) ที่จะประกาศ ซึ่งอาจส่งผลต่อการคาดการณ์นโยบายดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed)
ปัจจัยสนับสนุนดอลลาร์แข็งค่า
1.การดีดตัวของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐฯ:
- การปรับขึ้นของผลตอบแทนพันธบัตรช่วยหนุนการถือครองดอลลาร์ เนื่องจากดอลลาร์เป็นสินทรัพย์ที่น่าดึงดูดในสภาวะผลตอบแทนสูง
2.ตลาดจับตาเงินเฟ้อ (CPI):
- ดัชนี CPI ทั่วไปและพื้นฐานคาดว่าจะยังคงอยู่ในระดับสูง (2.7% และ 3.3% ตามลำดับ)
- หากตัวเลข CPI สูงกว่าคาดการณ์ อาจเพิ่มความกังวลว่า Fed จะชะลอการลดดอกเบี้ยในอนาคต ซึ่งเป็นปัจจัยบวกต่อดอลลาร์
3.สถานะ Safe Haven ของดอลลาร์:
- ในช่วงที่ตลาดการเงินจับตาการประชุม FOMC และมีความไม่แน่นอนในตัวเลขเศรษฐกิจ ดอลลาร์ยังคงเป็นที่ต้องการในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัย
4.Fed Blackout Period:
- ในช่วงที่เจ้าหน้าที่ Fed ไม่สามารถให้ความเห็นเกี่ยวกับนโยบาย ตลาดยังคงมีความไม่แน่นอนสูง ทำให้นักลงทุนถือดอลลาร์เพื่อป้องกันความเสี่ยง
ปัจจัยที่อาจกดดันดอลลาร์
1.ความคาดหวังการลดดอกเบี้ยของ Fed:
- ตลาดให้น้ำหนักสูงถึง 86.1% ว่า Fed จะลดดอกเบี้ย 0.25% ในการประชุมเดือนนี้
- หากการลดดอกเบี้ยเกิดขึ้นจริง อาจลดแรงหนุนของดอลลาร์ในระยะกลาง
2.ข้อมูลเศรษฐกิจอื่นที่ผันผวน:
- หากตัวเลข CPI ต่ำกว่าคาดการณ์ อาจกระตุ้นแรงขายดอลลาร์ เพราะตลาดจะคาดการณ์ว่า Fed จะผ่อนคลายดอกเบี้ยต่อเนื่อง
สรุป
- ดอลลาร์มีแนวโน้มแข็งค่าขึ้นในระยะสั้น เนื่องจากแรงหนุนจากอัตราผลตอบแทนพันธบัตรที่เพิ่มขึ้น และความไม่แน่นอนก่อนการประกาศตัวเลขเงินเฟ้อ CPI อย่างไรก็ตาม การตัดสินใจนโยบายของ Fed ในสัปดาห์หน้าจะเป็นตัวกำหนดทิศทางระยะยาวของดอลลาร์ หาก Fed ลดดอกเบี้ยตามคาด ดอลลาร์อาจชะลอการแข็งค่าหรือปรับตัวลงในอนาคต.
3️⃣ อัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐฯ
📰 แนวโน้ม: มีโอกาสที่บอนด์ยีลด์จะยังคงปรับตัวสูงขึ้นในระยะสั้น
📉 เหตุผล:
1.การจับตาข้อมูลเงินเฟ้อ (CPI):
- นักลงทุนกำลังรอการเปิดเผยตัวเลขเงินเฟ้อ (CPI) เดือนพฤศจิกายน ซึ่งถือเป็นข้อมูลสำคัญที่อาจส่งผลต่อการตัดสินใจของเฟดในการประชุมสัปดาห์หน้า หาก CPI ออกมาต่ำกว่าคาด อาจเพิ่มโอกาสที่เฟดจะลดอัตราดอกเบี้ย ซึ่งอาจทำให้บอนด์ยีลด์ลดลงในอนาคต แต่ในระยะสั้น ความไม่แน่นอนนี้ดึงดูดแรงขายในตลาดพันธบัตร ส่งผลให้ยีลด์ปรับตัวสูงขึ้น
2.ความคาดหวังต่อการประชุมเฟด:
- FedWatch Tool แสดงให้เห็นว่านักลงทุนให้น้ำหนักสูงถึง 86.1% ที่เฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ย 0.25% ในการประชุมเดือนธันวาคมนี้ อย่างไรก็ตาม ความคาดการณ์ดังกล่าวยังไม่ตอกย้ำจนชัดเจน ทำให้นักลงทุนระมัดระวังและคาดการณ์ไปในเชิงการปรับเพิ่มยีลด์ระยะสั้นจนกว่าจะมีข้อมูลที่ชัดเจนมากขึ้น
3.ช่วง Blackout Period ของเฟด:
- การที่เจ้าหน้าที่เฟดไม่สามารถแสดงความคิดเห็นในช่วงนี้ยิ่งเพิ่มความไม่แน่นอนให้กับตลาด นักลงทุนจึงอาจลดการถือครองพันธบัตรและเพิ่มแรงขาย ส่งผลให้ยีลด์ขยับสูงขึ้น
4.ระดับปัจจุบันของยีลด์:
- บอนด์ยีลด์อายุ 10 ปี: 4.234%
- บอนด์ยีลด์อายุ 30 ปี: 4.424%
ยีลด์ยังอยู่ในระดับสูง ซึ่งสะท้อนถึงมุมมองตลาดที่คาดการณ์ว่าเฟดจะลดดอกเบี้ยในอัตราที่ค่อยเป็นค่อยไป หรืออาจชะลอการลดดอกเบี้ยในช่วงต้นปี 2568
สรุป:
- บอนด์ยีลด์มีแนวโน้มปรับตัวขึ้นในระยะสั้นจากแรงขายที่เกิดจากความไม่แน่นอนของตัวเลข CPI และการประชุมเฟด อย่างไรก็ตาม หากตัวเลข CPI ต่ำกว่าคาด อาจทำให้บอนด์ยีลด์ปรับตัวลดลงในอนาคต เนื่องจากการคาดการณ์ถึงการลดดอกเบี้ยอย่างต่อเนื่องจากเฟด
4️⃣ ดัชนีดาวโจนส์ (Dow Jones)
🗞️ แนวโน้ม: ดาวโจนส์ฟิวเจอร์มีแนวโน้มเคลื่อนไหวในกรอบแคบต่อไปในระยะสั้น เนื่องจากนักลงทุนรอดูตัวเลขเงินเฟ้อ (CPI) ก่อนการประชุมเฟด
เหตุผล:
1.ความระมัดระวังก่อนตัวเลข CPI:
- นักลงทุนยังไม่แสดงท่าทีชัดเจน เนื่องจากตัวเลข CPI ที่จะเผยแพร่ในวันพรุ่งนี้มีผลต่อการคาดการณ์ทิศทางนโยบายดอกเบี้ยของเฟด ตัวเลขนี้ถือเป็น "ข้อมูลสำคัญตัวสุดท้าย" ก่อนการประชุม FOMC สัปดาห์หน้า
- หาก CPI ออกมาต่ำกว่าคาด อาจกระตุ้นความหวังว่าดอกเบี้ยจะลดลงในอนาคต ซึ่งจะส่งผลบวกต่อดัชนีดาวโจนส์ แต่หาก CPI สูงกว่าคาด อาจเพิ่มความกังวลเกี่ยวกับการชะลอการลดดอกเบี้ย
2.ข้อมูลดอกเบี้ยจาก FedWatch Tool:
- นักลงทุนให้น้ำหนักสูงถึง 86.1% ที่เฟดจะลดดอกเบี้ย 0.25% ในการประชุมเดือนนี้ และ 69.1% สำหรับการคงดอกเบี้ยที่ระดับ 4.25-4.50% ในเดือนมกราคม 2568
- การคาดการณ์ดังกล่าวสะท้อนว่าตลาดยังเชื่อว่าเฟดจะไม่เร่งรีบในการลดดอกเบี้ย ซึ่งอาจทำให้ตลาดหุ้นเคลื่อนไหวอย่างระมัดระวัง
3.การเคลื่อนไหวล่าสุด:
- ดาวโจนส์ฟิวเจอร์ลบเพียง 2 จุด ณ เวลา 19.05 น. แสดงให้เห็นถึงการขาดแรงผลักดันที่ชัดเจนทั้งในเชิงบวกและลบ
สรุป:
- ดัชนีดาวโจนส์ฟิวเจอร์น่าจะยังเคลื่อนไหวในกรอบแคบในระยะสั้น เนื่องจากนักลงทุนรอข้อมูล CPI เพื่อประเมินแนวโน้มดอกเบี้ยเฟด หากตัวเลขเงินเฟ้อต่ำกว่าคาด ตลาดมีโอกาสปรับตัวขึ้นจากความหวังที่ว่าเฟดจะลดดอกเบี้ยต่อเนื่อง แต่หากสูงกว่าคาด อาจกดดันดัชนีให้ปรับตัวลงเล็กน้อยจากความกังวลด้านดอกเบี้ยในอนาคต
5️⃣ น้ำมันดิบ WTI (WTI Crude Oil)
⛽ แนวโน้ม: ราคาน้ำมัน WTI มีแนวโน้มปรับตัวลดลงในระยะสั้น โดยได้รับแรงกดดันจากการขายทำกำไรของนักลงทุน หลังราคาปรับตัวขึ้นในวันก่อนหน้า
🌐 เหตุผล:
1.การขายทำกำไรหลังการดีดตัวขึ้น:
- ราคาน้ำมัน WTI ร่วง 0.51% สู่ระดับ 68.02 ดอลลาร์/บาร์เรล หลังจากพุ่งขึ้นถึง 1.74% วานนี้ ซึ่งบ่งชี้ว่าการปรับขึ้นครั้งก่อนเป็นผลจากการเก็งกำไรระยะสั้น
2.ปัจจัยหนุนที่เริ่มลดผลกระทบ:
- แม้จีนจะส่งสัญญาณใช้นโยบายการเงินผ่อนคลายเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ และเฟดมีแนวโน้มลดดอกเบี้ย ซึ่งเป็นปัจจัยเชิงบวกต่อความต้องการน้ำมันในระยะยาว แต่ตลาดมุ่งเน้นไปที่การขายทำกำไรในระยะสั้น
3.สถานการณ์ในซีเรีย:
- ความไม่สงบในซีเรียเพิ่มความเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์ แต่ยังไม่มีผลกระทบโดยตรงต่ออุปทานน้ำมันในตลาดโลก
4.การรอข้อมูลสต็อกน้ำมัน:
- นักลงทุนกำลังจับตาตัวเลขสต็อกน้ำมันดิบจาก API และ EIA ซึ่งจะส่งสัญญาณเพิ่มเติมเกี่ยวกับความต้องการและอุปทานในตลาด
สรุป:
- ราคาน้ำมัน WTI มีแนวโน้มอ่อนตัวลงในระยะสั้น เนื่องจากการขายทำกำไรของนักลงทุนและความไม่แน่นอนก่อนการเปิดเผยข้อมูลสต็อกน้ำมัน แม้ปัจจัยระยะยาว เช่น นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจจีนและการลดดอกเบี้ยเฟด จะยังคงสร้างแรงหนุนในภาพรวม.
เครดิต เจอโรมพาเทรด
ทิ้งคำตอบไว้
- 39 ฟอรัม
- 998 หัวข้อ
- 3,134 กระทู้
- 57 ออนไลน์
- 1,400 สมาชิก