เว็บบอร์ดลงโพสต์ฟรี
ดูอันดับนักแข่ง ea
การแจ้งเตือน
ลบทั้งหมด

Equilibrium คืออะไร ราคาจุดที่ไม่ควรเข้าเทรด

2 กระทู้
2 ผู้ใช้
9 Reactions
376 เข้าชม
thaiforex
(@thaiforex)
มนุษย์ที่เท่ห์ที่สุดในบอร์ด เพราะมีคนเดียว Admin
โพสครบ 20 กะทู้
โพสกะทู้ครบ 300
ผู้มีส่วนร่วมสูงสุด
สาย long
สาย Short
กูรูของเว็บบอร์ด
ตลาดหมี
ตลาดหมีขาว
ตลาดกระทิง
โพสกะทู้ครบ 1000
กูรูเว็บบอร์ด
นักวิเคราะห์กราฟ
Rank F
เข้าร่วม: 1 ปี ที่ผ่านมา
กระทู้: 911
หัวข้อเริ่มต้น  

ราคา Equilibrium หรือ ราคาดุลยภาพ หรือที่เรียกในวงการว่าราคาจุดที่ไม่น่าเข้าไปทำการซื้อหรือขายใดๆทั้งสิ้นในจุดนี้ เพราะเป็นช่วงราคาที่บ่งบอกว่า ราคาของตลาดไม่รู้จะไปในทิศทางไหน เพราะว่าในเนื้อหานี้เค้าบอกว่าราคาปัจจุบันนี้มันมีการเคลื่อนที่ซึ่งเราก็บอกว่ามันจะเป็นไปในทิศทางใดนะครับต่อให้เราเรียนเรื่องแพทเทิร์นต่างๆมา แต่ว่าราคามันก็ยังเคลื่อนที่ในรูปแบบสุ่มอยู่

 

รูปแบบที่เราเคยเรียนมามันก็อาจจะใช้ได้ไม่ถึง 50% เพราะว่าราคาจริงๆแล้วมันเคลื่อนที่ในรูปแบบสุ่มและเราก็ไม่สามารถที่จะเดาอนาคตได้เลย พอพูดแบบนี้หลายๆคนก็อาจจะตกใจ ว่าเอ๊ะที่เราร่ำเรียนมาเนี่ยมันใช้ไม่ได้เลยหรอ

 

ในความเป็นจริงแล้วก็ใช้ได้แต่ว่ามันอาจจะไม่มีอะไรร้อยเปอร์เซ็นต์ เพราะการที่ราคามันเป็นแพทเทิร์นแบบนั้นแบบนี้มันก็ไม่ได้หมายความว่ารอบนี้มันจะเป็นแบบนั้นแบบร้อยเปอร์เซ็นต์ มันแค่มีแนวโน้มที่จะเป็นแนวรูปแบบที่เราเคยร่ำเรียนมาก็ได้เช่นเดียวกัน 

 

ก่อนอื่นเราก็ต้องทำความเข้าใจภาพรวมของราคาก่อน ก็คือถ้าเกิดว่าราคานั้นมีการปรับตัวลง ราคามันมีการร่วงลงมา หมายความว่าแรงขายมากกว่าแรงซื้อ ก็คือมีคนขายของมากกว่าคนที่ต้องการมาซื้อของ มันก็เลยทำให้มีการลดราคาเกิดขึ้นเพื่อที่จะให้คนมีแรงซื้อเกิดขึ้นเพื่อที่จะอยากให้คนมีกำลังซื้ออยากที่จะเข้าซื้อเกิดขึ้น

 

แต่ถ้าเกิดว่าราคามันแพงขึ้นมาก็หมายความว่ามีคนต้องการมันมากกว่าสิ่งที่มันมี แต่ว่ามีแรงขายน้อยกว่าแรงซื้อเข้ามาเยอะมากก็เลยทำให้การประมูลราคาที่สูงมากยิ่งขึ้น

 

ยกตัวอย่าง bitcoin น่าจะเห็นภาพวงจรที่ชัดที่สุด เพราะว่าช่วงนั้นกระแสของคริปโตเคอเรนซี่มาแรงจริงๆ เมื่อมีกระแสมาแรงแบบนี้ หลายคนก็อยากที่จะเข้าไปซื้อ bitcoin พอเข้าไปซื้อ bitcoin ปุ๊บปรากฏว่า คนขายมีน้อย พอคนขายมีน้อยก็เลยมีการประมูลราคากันเกิดขึ้นประมาณว่า 30,000 มีใครจะซื้อไหม ก็มีคนซื้อเข้ามา และถ้ามีคนซื้อ 30,000 ลองขาย 40,000 ดู พอมีคนซื้อ 40,000 ปุ๊บ เมื่อมีคนซื้อมันก็ทำให้ราคามันดันขึ้นแบบนี้

 

ทีนี้พอไปถึง 60,000 คนซื้อก็เริ่มที่จะลดลง กลายเป็นว่าคนที่เคยซื้อไปก็อยากจะเริ่มขายแล้ว พอเริ่มมีคนอยากขาย ราคาก็จะมีการปรับตัวลงเพราะว่าแรงซื้อก็ค่อยๆที่จะลดลงไป ก็เลยทำให้ราคาของ bitcoin ค่อยๆปรับระดับลดลงมา นั่นเอง อันนี้คือตัวอย่างซัพพลายนะครับหรือแรงซื้อกับแรงขายนั่นเอง

 

 

ตัวอย่างที่ทำให้เราเห็นราคาดุลยภาพ กันว่า ราคาดุลยภาพราคากลางเนี่ยมันเป็นอย่างไร

 

ร้านผลิตเสื้อหนึ่งแห่ง เขาผลิตเสื้อออกมาจำนวน 1000 ตัว เขาต้องการที่จะขายเสื้อครั้งนี้จำนวน $10 ต่อตัว ปรากฏว่าไม่มีใครซื้อเสื้อในราคานี้ แล้วร้ายเสื้อมองว่าราคาเสื้อตัวนี้ ต่อราคา $10 มันแพงเกินไป เลยไม่มีคนซื้อ

 

ร้านก็เลยคิดว่า แบบนี้แรงซื้อไม่มีเลยมีแต่แรงขาย ลองลดราคาลงมาดีกว่า โดยลดให้เหลือ $8 ต่อเสื้อ 1 ตัว พอลดลงมา $8 กลายเป็นว่ามีคนซื้ออยู่250 คน แต่ร้านค้าต้องการที่จะขายเสื้อ 1000 ตัว แต่มีคนขอซื้อเพียงแค่ 250 ตัวเท่านั้น

 

ก็เลยเอาไหม ต้องลดราคาอีกลดราคาให้เหลือ $5 ต่อเสื้อ 1 ตัว ปรากฏว่ามีคนขอซื้อทั้งหมด 500 ตัว แต่มันก็ยังน้อยกว่าที่ตั้งใจไว้ครึ่งหนึ่งเลยทีเดียว ทีนี้ก็เลยครับตั้งราคาขายที่ $3 ต่อเสื้อ 1 ตัว ปรากฏว่ารอบนี้มีคนซื้อทั้งหมด 1000 คน 

 

จุดตรงนี้แหละเป็นจุดราคาตรงกลางระหว่างอุปสงค์อุปทาน ก็คือ ทุกๆคนนะครับเห็นราคาว่าเสื้อมันควรที่จะมีราคา $3 ต่อตัวเท่านั้น ตรงนี้ก็คือราคากลาง เป็นราคาที่อุปสงค์กับอุปทานเท่ากัน ก็คือแรงซื้อกับแรงขายเท่ากัน ต้องการที่จะขาย 1000 ตัว ก็มีแรงซื้อเข้ามา 1000 ตัว ก็เลยทำให้ราคาขอเสื้อนี้ มีราคากลางอยู่ที่ $3  ต่อ 1 ตัว นั่นเอง

 

แต่ถ้าเกิดว่า สมมุติมีคนต้องการเสื้อนี้จำนวน 10,000 คน ราคาเสื้อตัวนี้ก็จะมีการปรับตัวขึ้นเพราะว่ามีแรงซื้อเข้ามานั่นเอง อันนี้คือตัวอย่างให้เราได้เห็นภาพชัดเจนมากยิ่งขึ้นถ้าเกิดว่าเราเป็นเทรดเดอร์ในเหตุการณ์นี้ล่ะ เราควรที่จะทำอย่างไรถ้าเกิดตอนนี้ราคามันอยู่ที่ $3  ตามหลักเค้าบอกว่าเราไม่ควรที่จะซื้อขายในตอนนี้  เพราะราคามันอยู่ราคากลางๆ ราคามันยังไม่มีการปรับตัวขึ้นหรือปรับตัวลง

 

ถ้าเกิดเราต้องการที่จะเข้ามาเก็งกำไรในราคาเสื้อ เราก็ควรที่จะรอให้มันมีแรงซื้อให้มีความต้องการของคนมากกว่านี้ ในราคาเท่าเดิมนะก็คือในราคา $3 เพราะถ้าเกิดอยู่ๆมีคนต้องการที่จะซื้อเสื้อเพิ่มขึ้นมาเป็น 10,000 คนอะไรแบบนี้ เราค่อยเข้าซื้อในจังหวะนั้น  ไม่ใช่ซื้อในตอนที่แรงซื้อกับแรงขายมันมีมูลค่าเท่ากัน

 

และการที่เราต้องการที่จะเป็นเทรดเดอร์ให้ประสบความสำเร็จได้ในระยะยาว เราจะต้องทำความเข้าใจเรื่องของจุดเชื่อมโยงระหว่างแรงซื้อและแรงขายหรืออุปสงค์และอุปทานดังที่เราได้เห็นตัวอย่างกันก่อนหน้านี้ เราก็จะเห็นได้เบื้องต้นว่า จุดราคาไหนเป็นจุดที่ราคามันนิ่งอยู่เราไม่ควรที่จะเข้าซื้อขาย

 

ในบทความนี้เขาได้เปรียบตลาดฟอเร็กซ์ว่าเป็นเหมือนตู้ปลาขนาดใหญ่ ก็จะประกอบไปด้วยผู้เล่นอยู่สองตัวด้วยกัน ก็คือปลาวาฬ เปรียบได้ก็คือผู้เล่นรายใหญ่ หรือผู้ที่มีอิทธิพลในตลาดไม่ว่าจะเป็นกองทุนต่างๆหรือธนาคารกลางของประเทศ

 

และปลาอีกตัวหนึ่ง เป็นปลาตัวเล็กๆ ก็คือเทรดเดอร์รายย่อยอย่างเรานี่เอง เขาบอกว่าปลาวาฬนั้น ตามหลักโดยทั่วไปแล้วก็มักจะไลน์กับปลาเล็กอยู่แล้ว และบางที ปลาเล็กเนี่ย ก็งับกันเองด้วย มันก็เลยเกิดความวุ่นวายเกิดขึ้น 

 

โดยเฉพาะในตลาด forex นั้นมันไม่ใช่ตลาดสำหรับมือใหม่ที่จะเข้ามาโกยกำไรอย่างง่ายๆ แต่การที่เราเข้าใจเรื่องของกลยุทธ์เพิ่มขึ้น มันก็จะทำให้เราเห็นภาพการเชื่อมโยงของแรงซื้อและแรงขายเนี่ยได้ชัดเจนมากยิ่งขึ้นและเราก็อาจจะหาจุดเข้าเทรดตรงนี้ได้ดีมากยิ่งขึ้น

 

สรุปให้ว่าการเคลื่อนที่ของราคามันมีอยู่ด้วยกันอยู่ 3 ปัจจัยด้วยกันก็คือ " ถ้าเกิดว่ามีแรงขายมากกว่าแรงซื้อ แน่นอนว่า ราคาก็จะมีการปรับตัวลง " "แต่ถ้าเกิดว่ามีแรงซื้อมากกว่าแรงขายราคาก็จะมีการปรับตัวสูงขึ้น "และข้อที่ 3 ก็คือ " ถ้าแรงซื้อและแรงขายเท่ากันเนี่ยจุดนี้เรียกว่าราคามีความสมดุลเป็นราคาดุยลภาพนั่นเอง " 

 

 


   
TibitoBlink, deerfx101, fxtatoo and 6 people reacted
อ้างอิง
fxtatoo
(@fxtatoo)
สมาชิก
Rookie
เข้าร่วม: 1 ปี ที่ผ่านมา
กระทู้: 6
 

ขอบคุณครับ 


   
ตอบอ้างอิง

ทิ้งคำตอบไว้

ชื่อผู้แต่ง

อีเมลผู้เขียน

ตำแหน่ง *

You are not allowed to attach files on this forum. It is possible that you have not reached the minimum required number of posts, or your user group does not have permission to attach files in this forum.
 
ดูตัวอย่าง แก้ไข 0 ครั้ง บันทึกแล้ว
แบ่งปัน: